- 04 ก.พ. 2561
ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th
เนื่องในวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ เป็นวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช พระองค์ทนงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๑๗ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่ เจ้าจอมมารดาทับทิม โดยเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกลุ่มแรกที่ทรงไปศึกษาต่อในทวีปยุโรป เมื่อกลับมาประเทศไทยทรงเข้ารับราชการในกองทัพบกและกระทรวงกลาโหมในตำแหน่งต่างๆ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช เป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๑๗ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่ เจ้าจอมมารดาทับทิม (ธิดาพระยาอัพภันตริกามาตย์ (ดิศ โรจนดิศ)) เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๙ ในพระบรมมหาราชวัง
พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช ทรงสำเร็จการศึกษาชั้นต้นที่โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ เป็นพระราชโอรสกลุ่มแรก ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงไปศึกษาต่อในทวีปยุโรป เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๘ พร้อมกัน ๔ พระองค์ คือ
กรมพระจันทบุรีนฤนาถ (พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์)
กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์)
กรมหลวงปราจิณกิติบดี (พระองค์เจ้าประวิตรวัฒโนดม)
กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช (พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช)
พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช ทรงศึกษาวิชาทหาร ที่ประเทศเดนมาร์ก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๔ - ๒๔๓๗ ได้รับพระราชทานพระยศเป็นนายร้อยตรีแห่งกองทัพบกประเทศเดนมาร์ก จากนั้นทรงเข้าศึกษาในโรงเรียนชั้นสูงสำหรับนายทหารทั่วไป เมื่อทรงสอบวิชาทหารปืนใหญ่ได้แล้ว ใน พ.ศ. ๒๔๓๙ จึงออกไปฝึกราชการอยู่ในกรมทหารปืนใหญ่สนามของประเทศเดนมาร์ก เสด็จกลับประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๐ เข้ารับราชการในกองทัพบกและกระทรวงกลาโหม ทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ, ปลัดกองทัพบก, เสนาธิการทหารบก และเสนาบดีกระทรวงกลาโหม ทรงเป็นจอมพลพระองค์แรกของ กองทัพบกสยาม ขณะดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหมได้ทรงปรึกษากับ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ เสนาธิการทหารบก ถึงความจำเป็นที่ประเทศไทยจะต้องมีเครื่องบินไว้ใช้ป้องกันประเทศ เหมือนอย่างอารยประเทศ และริเริ่มจัดตั้งกองบินทหารบก ซึ่งในเวลาต่อมาได้พัฒนาเป็น กองทัพอากาศไทย
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช ทรงได้รับพระราชทานวังมหานาคจากสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงให้เป็นที่ประทับของพระองค์และเจ้าจอมมารดาทับทิมสืบมา นอกจากนี้ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช ทรงเป็นต้นราชสกุล จิรประวัติ
นอกจากนี้ หม่อมหลวงรจนาธร ณ สงขลา (จิรประวัติ) พระปนัดดาของพระองค์ได้เล่าเรื่องในหนังสือ ๑๐๑ จุลจักรี ๑๐๑ ปี จุลจอมเกล้า ดังนี้
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช เป็นพระราชโอรสพระองค์หนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวส่งไปประเทศอังกฤษตั้งแต่ยังพระเยาว์ ทรงศึกษาได้ไม่นานนัก สมเด็จพระเจ้าคริสเตียนที่ ๙ แห่งประเทศเดนมาร์ก ซึ่งเป็นพระสหาย ได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช ไปอุปการะ โดยให้ศึกษาหลักสูตรทหาร ซึ่งสมเด็จพระเจ้าคริสเตียนที่ ๙ ทรงรักพระโอรสบุญธรรมพระองค์นี้มาก สมัยนั้นคนไทยไม่ต้องขอวีซ่าเข้าเดนมาร์ค เพราะถือว่าหนึ่งในพระโอรสของสมเด็จพระเจ้าคริสเตียนที่ ๙ นั้นเป็นคนไทย
พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช ทรงรักและเคารพพระบิดามาก พระองค์ทรงงานสนองพระราชดำริด้านการทหาร ซึ่งเป็นหน้าที่อันสำคัญในขณะนั้น โดยงานในตำแหน่งผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ เป็นงานที่หนักมาก พระองค์ได้ทรงงานโดยไม่คำนึงถึงพระวรกาย แม้จะทรงประชวรก็ไม่ยอมละทิ้งหน้าที่ จนพระบิดาต้องทรงตักเตือน เพราะทรงห่วงใยในเรื่องพระพลานามัย ต่อมา ในสมัยรัชกาลที่ ๖ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช ได้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหม ได้รับพระราชทานยศทางทหารขั้นสูงสุดเป็นจอมพลพระองค์แรกของทหารบก ทรงมีผลงานจากการวางรากฐานเรื่องการศึกษาของทหาร และร่างพระราชบัญญัติการเกณฑ์ทหาร พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช ทรงรักและโปรดการสะสมงานศิลปะทุกชนิด ของทุกอย่างที่วังมหานาค ทั้งงานเพนท์ งานปั้น แม้กระทั่งจานข้าว ก็มีลายเซ็นพระนาม และมีการออกแบบอย่างสวยงาม
จอมพล พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช สิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๖ สิริพระชนมายุได้ ๓๗ พรรษา ทรงได้รับการยกย่องให้เป็น "พระบิดาแห่งกองทัพบกไทย"






