- 29 มี.ค. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
จากวาสนา .. สู่ บุพเพสันนิวาส ได้อย่างไร !?
บทความพิเศษจาก “พระอาจารย์อารยวังโส”
(พระอาจารย์อารยวังโส)
เจริญพรสาธุชนผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา คำว่า “ปุพเพกตปุญญตา” แปลว่า ความเป็นผู้มีบุญอันทำแล้วในกาลก่อน สะท้อนให้เห็นความจริงตามหลักกฎเกณฑ์กรรมหรือกรรมนิยาม ที่สำคัญที่สุดต่อการจะเรียนรู้ความจริงหรือธรรมที่มีอยู่ในธรรมชาติ
เมื่อมาพิจารณา คำว่า “วาสนา” ที่แปลไทยเป็นไทยว่า สิ่งที่ติดมาจากในอดีต ฝังอยู่ในจิตใจ จนเป็นพฤติจิตหรือเป็นจริยาที่ประกอบอยู่ในจิต ดุจเป็นเนื้อหนังมังสา .. แม้กิเลสจะหมดสิ้นไป แต่รอยกรรมที่สั่งสมไว้ จนให้ผลประกอบอยู่ในจิตเป็นจริตหรือจริยานั้น ย่อมยังแสดงผลแห่งกรรมเก่าที่เคยกระทำมา เป็นกฎเกณฑ์ธรรมชาติที่น่าศึกษายิ่ง การจะลบร่องรอยกรรมที่กลายเป็นวาสนาให้หมดไปได้นั้น มีแต่วิสัยของพระพุทธเจ้าเท่านั้น แม้พระอรหันตสาวกอย่างพระสารีบุตรเถรเจ้า พระอัครสาวกเบื้องขวา มีปัญญายิ่งกว่าภิกษุสาวกทั้งหลาย ยังต้องมีวาสนาอยู่ในวิถีชีวิต ดังเรื่องเล่าว่า...
ครั้งหนึ่ง มีเศรษฐีท่านหนึ่งเกิดจิตศรัทธาใคร่ถวายไตรจีวรแด่พระสารีบุตรเถรเจ้า โดยได้อาราธนานิมนต์ให้พระมหาเถระไปรับประเคนที่บ้านของตน ซึ่งในระหว่างเดินทางไปบ้านเศรษฐี มีท้องร่องขวางกั้นอยู่ พระสารีบุตรเห็นดังนั้น จึงกระโดดข้ามท้องร่องอย่างว่องไว
เศรษฐีผู้มีศรัทธาได้เห็นภาพดังกล่าวด้วยตาตนเอง จึงรู้สึกขัดเคืองใจ ไม่ชอบใจ ดำริว่า
“สมณะรูปนี้ ไม่สำรวมเอาเลย เราจักถวายผ้าเพียงสองผืนเท่านั้น”
เมื่อเดินทางต่อไป ผ่านท้องร่องอีก พระสารีบุตรก็กระโดดข้ามอีกด้วยความว่องไวเช่นเดียวกับท้องร่องแรก เศรษฐีเริ่มศรัทธาตก จึงดำริในใจว่า “เมื่อไปถึงบ้าน เราจะถวายผ้าจีวรแค่ผืนเดียว...” และเมื่อเดินทางต่อไป ได้เจอท้องร่องที่สาม แต่พระสารีบุตรกลับเดินอ้อมท้องร่องดังกล่าวไปอย่างสำรวม ไม่กระโดดข้ามเหมือนท้องร่องที่หนึ่งและที่สอง
เศรษฐีผู้นิมนต์จึงแปลกใจ เกิดความคลางแคลงใจ ดำริในใจว่า “ทำไมท้องร่องที่สามนี้ พระสารีบุตรเถรเจ้าจึงไม่กระโดด” จึงได้เอ่ยปากถามว่า “ทำไมท้องร่องนี้ พระคุณเจ้าจึงไม่กระโดดเล่าขอรับ !?”
พระสารีบุตรตอบว่า “ถ้าอาตมากระโดดข้ามท้องร่องนี้ โยมก็จักไม่ถวายผ้าตามที่ตั้งใจไว้เดิมนะสิ !”
พระสารีบุตรเถรเจ้า ท่านมีเจโตปริยญาณ หยั่งรู้ใจคนอื่น รู้วาระจิตสัตว์ทั้งหลายได้ เป็นสาวกบารมีญาณขั้นสูงสุดในพระสาวกทั้งหลาย จึงรู้วาระจิตเศรษฐีที่มีจิตศรัทธาตกไปจากเดิม เพราะไม่เข้าใจเรื่องวาสนาบารมี จึงได้รักษาจิตศรัทธาสุดท้ายของเศรษฐีไว้ มิใช่เพราะความต้องการได้ผ้าผืนนั้น แต่เพื่อเป็นเหตุนำมาอบรมสั่งสอนเศรษฐี ที่ยังมีศรัทธาไม่มั่นคง เป็นศรัทธาหัวเต่า คือ หดเข้ายืดออก ผลุบๆ โผล่ๆ ... ตามอารมณ์ที่เสวยจิต ที่ขาดสติปัญญา ไม่เข้าใจในเรื่อง วาสนา ที่สะท้อนให้เห็นกฎแห่งกรรมอย่างดียิ่งในปัจจุบัน และเมื่อเศรษฐีได้เข้าใจในเรื่องดังกล่าว จากการสั่งสอนของพระสารีบุตร.. เศรษฐีจึงกราบขอขมากรรมและถวายผ้าทั้งสามผืนครบไตรจีวรแด่พระสารีบุตรเถรเจ้า
เรื่องดังกล่าว มีภิกษุได้กราบทูลถามพระพุทธเจ้า .. พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงเล่าเรื่องอดีตชาติของพระสารีบุตรให้ภิกษุคณะดังกล่าวฟังว่า “...สมัยหนึ่ง พระสารีบุตรเถรเจ้า เคยเกิดเป็นลิงมา ๕๐๐ ชาติ นิสัยชอบกระโดดโลดเต้น จึงติดตัวตามมา ด้วยสั่งสอนจนเป็นจรรยาหรือจริยาของจิต ที่เรียกว่า จิตสันดาน ก็ได้ จนกลายเป็นวาสนาของบุคคลนั้นๆ ซึ่งดังที่กล่าวไปในเบื้องต้นว่า “วาสนา” เป็นสิ่งที่ติดตัวมาอันเกิดจากการกระทำในอดีตทางกาย วาจา ที่ติดอยู่ในจิตใจ จนเป็นพฤติจิตอย่างหนึ่งด้วยอำนาจของกิเลสที่เกาะกินจิต จนเกิดการสั่งสมพฤติจิต-พฤติกรรมทางกาย วาจา มาเป็นเวลานานจนเป็นนิสัย อุปนิสัย ชาตะชีวิต ที่เรียกว่า วาสนา ด้วยเคยชินมายาวนานจนเป็นพื้นนิสัยประจำตัว ไม่ว่าจะไปเกิดในภพใด สมัยใด ซึ่งแม้จะละกิเลสได้สิ้นคืออรหัตผลแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงแสดงความเคยชินของการกระทำนั้นอยู่ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการใช้คำพูดหรือการกระทำใดๆ เช่น การเดิน นั่ง ยืน นอน เป็นต้น
“วาสนา” จึงเป็นความหมายของพฤติจิต-พฤติกรรมอันเกิดจากกิเลสที่เกาะจิต จนกลายเป็นเนื้อหนังมังสาของกิเลส วาสนาดีก็มี วาสนาไม่ดีก็มี วาสนากลางๆ ก็มี
ในวาสนาที่เป็นอกุศล อันนำไปสู่อบายนั้น จะไม่มีในพระอรหันต์ แต่จะละไม่ได้ในส่วนที่เป็นเหตุให้เกิดการแสดงออกทางกาย วาจา แปลกไปจากผู้อื่น มีแต่ฐานะของพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ละสิ้นกิเลสและวาสนา .. นี่เป็นธรรม !!
เรื่องของพระอรหันตสาวกที่ละวาสนาไม่ได้ แสดงออกให้เห็นถึงพื้นเพเดิมของจิตที่สืบมาจากอดีตชาติ เช่น ในพระปิลินทวัจฉเถระ ซึ่งทรงยกย่องเป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทางด้านผู้เป็นที่รักใคร่ของเทพยดาทั้งหลาย ซึ่งเป็นอุปนิสัยของพระเถระที่ชอบเรียกคนอื่น แม้เพื่อนภิกษุทั้งหลายว่า “คนถ่อย .. ไอ้ถ่อย !” จนสร้างความอึดอัดใจ ไม่ชอบใจ แก่ผู้ถูกเรียก มีบางคนเกิดปฏิฆะขุ่นเคืองใจ กล่าวตอบโต้ในทางอกุศล จึงได้รับผลกรรมที่เป็นบาปทันตาเห็น.. เรื่องดังกล่าว พระพุทธเจ้าจึงได้วิสัชนาแด่ภิกษุทั้งหลายให้ทราบถึงบุพชาติของพระมหาเถระ... เรื่องราวขุ่นเคืองใจในหมู่เพื่อนภิกษุและในศรัทธาสาธุชนจึงจบลง เพราะเข้าใจเรื่องวาสนา อันไม่สามารถลบทิ้งได้แม้จะสิ้นกิเลสแล้ว ด้วยกำลังของสาวกบารมีญาณ... หากจะเล่าเรื่องอดีตชาติของพระปิลินทวัจฉะให้ทราบสักเล็กน้อยเพื่อประดับปัญญา ดังที่กล่าวไปแล้วว่า ทรงประกาศว่า พระมหาเถระเป็นเอตทัคคะในทางผู้เป็นที่รักใคร่ของเทพยดาและเป็นบุตรของพราหมณ์ตระกูลวัจฉโคตร ชื่อเดิม “ปิลินทะ” คนทั่วไปเรียก ปิลินทวัจฉะ จบการศึกษาขั้นสูงสุดตามหลักสูตรนิยมของพราหมณ์ ได้แก่ ไตรเพทศึกษา มีปกติเรียกคนอื่นว่า “เจ้าถ่อย ไอ้ถ่อย คนถ่อย...” ดังที่เรียกเพื่อนภิกษุเป็นบาลีว่า “วสละ” ซึ่งเป็นคำหยาบแปลว่า คนถ่อย....
พระพุทธองค์ได้ตรัสเล่าถึงบุพกรรมในอดีตชาติอันยาวนานของ พระปิลินทวัจฉเถระ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
“...ภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่าได้ถือโทษโกรธปิลินทวัจฉะเลย ท่านมิได้มีความโกรธแค้นในตัวเธอทั้งหลายเลย แต่ที่ท่านมักเรียกพวกเธอว่า “วสละ” นั่น เพราะในอดีตชาติย้อนหลังไป ๕๐๐ ชาติ ท่านมักกล่าวคำอย่างนั้นมาตลอดกาลนาน คำนี้จึงเป็นอุปนิสัยติดตัวท่านมาตั้งแต่อดีตชาติ..” (วสละหรือวสลิ แปลว่า คนถ่อย)
เรื่อง วาสนา จึงน่านำมาศึกษาอย่างยิ่งในการเรียนรู้เรื่อง กฎแห่งกรรมในกรรมนิยาม ที่แสดงความเป็นเหตุเป็นผล อันสามารถชักนำให้เข้าใจในเรื่องกฎความเป็นธรรมดา “ธรรมนิยาม” ได้เป็นอย่างดี จะเรียกว่า “วาสนา” เป็นผลปรากฏของวิบากกรรมขั้นประณีตก็ว่าได้ จนเกิดเป็นร่องรอยในชีวิตหรือจิตใจ ซึ่งแม้กิเลสสิ้นไปแล้ว แต่ตราบใดที่ยังอาศัยอัตภาพหรือขันธ์ ๕ อันเป็นผลจากกรรมเก่า ก็ย่อมยังปรากฏร่องรอยกรรมเก่าให้เห็นอยู่ดังที่เคยเป็นมา... ดุจคล้ายชะตาชีวิต ที่เกิดขึ้นจากการพูด การทำ และทำจนเป็นนิสัย เป็นอุปนิสัย เป็นสันดาน จนกลายเป็นชะตาชีวิต (Destiny)
คราวนี้ พอกลับมาพบคำว่า “บุพเพสันนิวาส” ที่สังคมไทยในขณะนี้ติดคำนี้มาก จากอิทธิพลของละคร ซึ่งคำว่า บุพเพสันนิวาส นั้น ให้ความหมายชัดเจนอยู่ในตัวว่า การเคยสันนิวาสกันมาจากบุพเพ (อดีต) หรือ การเคยอยู่ร่วมกันในกาลก่อน ซึ่งเป็นไปในทุกฐานะ ไม่ใช่เฉพาะเจาะจงว่าต้องเป็นเรื่องคู่รักหรือสามีภรรยา
พระพุทธองค์ทรงตรัสเป็นบาลีว่า “..ปุพฺเพว สนฺนิวาเสน .. ปจฺจุปนฺนหิเตน วา, เอวนฺตํ ชายเต เปมํ ... อุปฺปลํว ยโถทเก” แปลความว่า ความรักเกิดขึ้นด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ
๑. ด้วยเคยอยู่ร่วมกันมาในกาลก่อน
๒. ด้วยช่วยเหลือเกื้อกูลในปัจจุบัน
จึงนำไปสู่ความรักที่มีต่อกัน ที่เรียกว่า บุพเพสันนิวาส การได้พบกันของคนที่เคยรักกัน และกลับมาเกื้อกูลดูแลกัน ด้วยจิตใจที่ยินดีมีความสุข มีสัมพันธภาพที่ดีต่อกันนั้น นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ จึงมีคำกล่าวแบบไทยว่า บุญมา วาสนาส่ง ที่ไข้ก็หาย ที่หน่ายก็รัก ...ในทางตรงข้าม บุญก็ไม่มา วาสนาก็ไม่ส่ง ที่เจ็บก็หนัก ที่รักก็หน่าย....
สรุปว่า วาสนาต่อกันและกัน คือ กรรมสัมพันธ์กันในอดีตเป็นเหตุปัจจัยที่สำคัญต่อการดำเนินไปชองชีวิต ที่ต้องพบเห็นเกี่ยวพันเกี่ยวข้องกับเรื่องราวบุคคลต่างๆ มากมาย ... มีทั้งดี .. ไม่ดี ซึ่งแท้จริงก็ว่ากันไปตามกฎเกณฑ์กรรมในกรรมนิยาม ที่ควบคุมสัตว์โลกให้ดำเนินไปตามกรรม ที่ต้องรับผลของกรรมนั้นตามกฎความเป็นธรรม ซึ่งในสังคมวันนี้หรือในอดีตหรือในอนาคต ก็พึงเป็นเช่นนี้ เป็นธรรมดา จึงน่าศึกษายิ่งต่อคำเหล่านี้ ที่นำไปสู่การศึกษาธรรมในเรื่องของกรรม... เพื่อสร้างกรรมดี ละกรรมชั่ว จะได้มีวาสนาดีๆ จะได้พบกับ บุพเพสันนิวาส ดีๆ ... ด้วยดีชั่วสำเร็จที่จิตดวงเดียวจริงๆ ......
เจริญพร
พระอาจารย์






