คดีอันอื้อฉาว!! ย้อนเล่าเหตุการณ์ "คดีพญาระกา" ละครเสียดสีพระราชวงศ์ชั้นสูงอันอื้อฉาว ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ทีมี "บิดาแห่งกฏหมายไทย" เป็นโจทก์!!

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

คดีอันอื้อฉาว!! ย้อนเล่าเหตุการณ์ "คดีพญาระกา" ละครเสียดสีพระราชวงศ์ชั้นสูงอันอื้อฉาว ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ทีมี "บิดาแห่งกฏหมายไทย" เป็นโจทก์!!

 

           สำหรับ "คดีพญาระกา" อาจไม่ค่อยคุ้นหูนัก แต่เป็นคดีที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งเป็นภาพสะท้อนมุมปัญหาครอบครัวชนชั้นสูง โดยที่มีข้อยกว้นในกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. ๑๒๗ ว่า ในกรณีที่ผู้กระทำผิดเป็นพระบรมวงศานุวงศ์จะไม่มีการพิจารณาโทษในศาลยุติธรรม ซึ่งเป็นศาลสำหรับสามัญชนทั่วไป จะมีการจัดตั้งศาลรับสั่งขึ้นเป็นพิเศษเพื่อพิจารณาโทษของพระบรมวงศานุวงศ์ผู้นั้น

คดีอันอื้อฉาว!! ย้อนเล่าเหตุการณ์ "คดีพญาระกา" ละครเสียดสีพระราชวงศ์ชั้นสูงอันอื้อฉาว ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ทีมี "บิดาแห่งกฏหมายไทย" เป็นโจทก์!!

 

 

            จากข้อยกเว้นดังกล่าวนี้ได้กลายเป็นปมปัญหา ในปลายรัชสมัยรัชกาลที่5 และนำไปสู่กรณีที่กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระราชโอรสในรัชกาลที่ ๕ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม การประท้วงของกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ครั้งนี้พลอยทำให้ข้าราชการกระทรวงยุติธรรมจำนวน ๒๘ นาย ทูลลาออกจากราชการ ร.๕ ทรงกริ้วและเสียพระทัยมาก ตรัสเรียกขุนนางพวกนี้ว่า ๒๘ มงกุฏ แต่ต่อมาทั้งกรมหลวงราชบุรีฯและขุนนางได้ถวายฏีกาขอพระราชทานอภัยโทษ

            เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและลุกลามเป็นคดีพิพาทเรื่องนี้เรียกกันโดยทั่วไปว่า "คดีพญาระกา" ซึ่งเจ้าทุกข์เป็นนางละครและเป็นหม่อมของกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงศ์ชื่อ "พักตร" โดยพักตรได้หลบหนีออกจากวังและคณะละครของกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงศ์ เนื่องจากถูกทำร้ายทุบตี ต่อมาได้ไปอาศัยอยู่ในวังของกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงศ์จึงทรงแต่งบทละครเรื่อง "ปักษีปกรนัม เรื่องพญาระกา" เป็นทำนองเปรียบเปรยว่า กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิสมสู่อยู่กับผู้หญิงซึ่งเคยเป็นนางละครและเป็นหม่อมของกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงศ์มาก่อน

 

คดีอันอื้อฉาว!! ย้อนเล่าเหตุการณ์ "คดีพญาระกา" ละครเสียดสีพระราชวงศ์ชั้นสูงอันอื้อฉาว ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ทีมี "บิดาแห่งกฏหมายไทย" เป็นโจทก์!!

 

             กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ได้ทรงทราบมาว่า รัชกาลที่ ๕ ได้ทรงเห็นบทละครเรื่องนี้แล้ว และละครเรื่องนี้มีกำหนดที่จะแสดงต่อหน้าพระพักตร์ จึงทำให้ทรงเข้าใจว่า รัชกาลที่ ๕ ไม่ทรงเมตตาถึงปล่อยให้กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงศ์หมิ่นประมาทได้จึงน้อยพระทัย และลาออกจากตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม

             ในขณะที่บรรดาชายผู้มีบรรดาศักดิ์และเป็นข้าราชการบริพารชั้นผู้ใหญ่หลายท่านได้พยายามที่จะประนีประนอมให้เรื่องนี้สงบลง เนื่องจากกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงศ์ทรงเป็นพระราชโอรสของรัชกาลที่ ๔ จึงมีฐานะเป็นพระเจ้าน้องยาเธอของรัชกาลที่ ๕ และทรงมีฐานะเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ของกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤธิ์ด้วย แต่พักตรยืนกรานที่จะให้มีการดำเนินคดีต่อกรมหมื่นนราธิปประพัธ์พงศ์

             สำหรับเนื้อเรื่องของ" พญาระกา " อย่างย่อๆ มีอยู่ว่า พญาระกามีเมียมาก มีเมียตัวหนึ่งเป็นนางไก่ญี่ปุ่นซึ่งไม่พอใจตัวพญาระกา พอได้โอกาสก็แยกฝูงไป พบไก่ชนที่ปลายนาเกิดรักใคร่เป็นชู้กัน พอรู้ถึงพญาระกา ก็ตามไปตีไก่ชนจนแพ้และหนีไป นางไก่ญี่ปุ่นก็หนีเตลิดไปพบตาเฒ่านกกระทุงริมบึง ตาเฒ่าเอาไปเลี้ยงไว้ แต่ยายเฒ่านกกระทุงหึงหวง ประกอบกับได้ข่าวว่าพญาระกาผู้มีฤทธิ์กำลังติดตามค้นหา นกกระทุงจึงไล่นางไก่ญี่ปุ่นไปหาพญาเหยี่ยว พญาเหยี่ยวเห็นว่ารับไว้จะเกิดปัญหา จึงส่งนางไปถวายพญานกเค้าแมว นกเค้าแมวเกิดความปฏิพัทธ์นางไก่ญี่ปุ่น ไม่รังเกียจว่าเสียเนื้อตัวมาแล้ว เพราะนกเค้าแมวก็กินของโสโครกอยู่แล้ว จึงได้นางไก่เป็นเมียในบทตอนนี้มีกล่าวติเตียนชัดเจนว่า พญาเค้าแมวเป็นผู้หลงระเริงในราคะ จนลืมความละอายต่อบาป เอาเมียของอาเป็นเมียได้ ฝ่ายนางนกเค้าแมวมเหสีได้ข่าวก็มาหึง แต่พญาระกากลับเข้าข้างนางไก่ ไล่ตีนางนกเค้าแมวหนีกลับเข้ารังไปต่อมาพญาเค้าแมวยกทัพจะไปรบกับพญาระกา แต่เมื่อเผชิญหน้ากันยังไม่ทันรบพุ่ง ก็พอดีจวนรุ่งเช้า พญาระกาขันขึ้นมา ส่วนนกเค้าแมวตาฟางเพราะแสงอรุณเลยแพ้ เลิกทัพหนีไป


            กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ อ่านแล้ว ทรงเห็นว่า เป็นเรื่องแต่งว่ากล่าวกระทบกระเทียบเปรียบเปรยพระองค์ในกรณีหม่อมพักตร์ ก็กริ้วมาก ประกอบกับทรงได้ข่าว (ซึ่งรู้ภายหลังว่าไม่จริง) ว่าพระเจ้าอยู่หัวได้ทอดพระเนตรบทละครแล้ว มิได้ทรงทักท้วงแต่อย่างใด ซ้ำยังกำหนดจะให้เล่นถวายในวันที่ ๓ มิถุนายน เสียอีก ถ้าหากว่าเล่นขึ้นมาเมื่อไรก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่โต พระองค์คงจะได้รับความอัปยศอย่างมาก ทรงเห็นพระเจ้าอยู่หัวเองก็ไม่ทรงพระเมตตาพระราชโอรสเสียแล้ว ถึงปล่อยให้ละครเล่นเรื่องนี้ต่อหน้าราชสำนักได้อย่างที่กล่าวไว้แล้วว่ากรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทรงเป็นผู้มีพระทัยเร็ว เมื่อกริ้วเรื่องนี้มาก ก็ถึงขั้นบรรทมไม่หลับทั้งคืน เช้าก็ทรงประชุมข้าราชการกระทรวงยุติธรรมมาแจ้งเรื่องให้ทราบ และ ทรงมีลายพระหัตถ์ถึงเจ้าพระยายมราชเล่าเรื่องนี้พร้อมส่งบทละครไปด้วย ทรงเห็นว่าเมื่อเหตุการณ์เป็นไปถึงขั้นนี้ ก็ทรงโทมนัสเกินกว่าจะอยู่ดูหน้าผู้คนได้ ขอให้เจ้าพระยายมราชจัดการตามแต่เห็นสมควร แล้วก็เสด็จลงเรือไปแต่ลำพัง ไปอยู่ที่ศาลเจ้าองครักษ์ที่ปลายคลองรังสิตก่อนหน้าเกิดเรื่องนี้

              เหตุการณ์ประท้วงของกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ได้นำไปสู่การจัดตั้งศาลรับสั่งเพื่อพิจารณาโทษที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงศ์ทรงหมิ่นประมาทกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ และในที่สุดศาลได้รับางตัดสินให้จำขังไว้ ๑ ปี และให้ริบและเผาหนังสือเรื่องปักษีปกรณัม โทษดังกล่าวไม่น่าจะครอบคลุมไปถึงกรณีการทำร้ายร่างกายพักตร ซึ่งปรากฎว่าได้หายตัวไปในตอนหลัง "คดีพญาระกา" จึงเป็นเค้าเงื่อนที่จะศึกษาเกี่ยวกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัวในสังคมไทยในกลุ่มชนชั้นสูง ตลอดจนความพยายามของหญิงสามัญชนที่จะดิ้นรนเอาโทษต่อผู้กระทำความผิดที่บุญหนักศักดิ์ใหญ่ได้เป็นอย่างดร และต้องจัดว่าเป็นคดีที่อื้อฉาวมาก เพราะพัวพันกับผู้มีชื่อเสียงหลายท่าน จากคดีดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าในการเปลี่ยนแปลงระบบกฎหมายจนมาเป็นกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. ๑๒๗ นี้ ก็ยังไม่มีควาทัดเทียมเสมอภาคอย่างแท้จริง

 

 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : เพจ ประวัติศาสตร์ราชอาณาจักรสยาม