- 11 มิ.ย. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
การกอบกู้เอกราชของเจ้าตาก นับเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งเป็นการรวบรวมกองกำลังของเจ้าตาก เพื่อขับไล่กองทัพพม่าที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในกรุงศรีอยุธยา ภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง อันส่งผลให้เกิดสภาพจลาจลโดยทั่วไป ราชอาณาจักรอยุธยาเดิมจึงถูกแบ่งออกเป็นชุมนุมต่างๆ เป็นอิสระต่อกัน
พระเจ้าตากเดินทัพจากระยองผ่านแกลงเข้าบางกระจะ มุ่งยึดจันทบุรี เจ้าเมืองจันทบุรีไม่ยอมสวามิภักดิ์ เจ้าตากต้องการยึดเมืองจันทบุรีไว้เป็นที่มั่นเพื่อรวบรวมกำลังมาตีพม่า จึงสั่งทหารทุกคนว่า
"เราจะตีเมืองจันทบุรีในค่ำวันนี้ เมื่อกองทัพหุงข้าวเสร็จแล้ว ทั้งนายไพร่ให้เททิ้งอาหารที่เหลือและต่อยหม้อเสียให้หมด หมายไปกินข้าวเช้าด้วยกันที่ในเมืองเอาพรุ่งนี้ ถ้าตีเอาเมืองไม่ได้ในค่ำวันนี้ ก็จะให้ได้ตายเสียด้วยกันให้หมดทีเดียว"
ในวันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2310 ครั้นถึงเวลา 19.00 น. เจ้าตากจึงได้สั่งให้ทหารไทยและจีนลอบเข้าไปอยู่ตามสถานที่ที่ได้วางแผนไว้แล้ว ให้คอยฟังสัญญาณเข้าตีเมืองพร้อมกัน จึงให้โห่ขึ้นให้พวกอื่นรู้ เมื่อเวลา 03.00 น. เจ้าตากก็ขึ้นคอช้างพังคีรีบัญชร ให้ยิงปืนสัญญาณพร้อมกับบอกพวกทหารเข้าตีเมืองพร้อมกัน ส่วนเจ้าตากก็ไสช้างเข้าพังประตูเมืองจนทำให้บานประตูเมืองพังลง ทหารเจ้าตากจึงกรูกันเข้าเมืองได้
พวกชาวเมืองต่างพากันละทิ้งหน้าที่หนีไป ส่วนพระยาจันทบุรีก็พาครอบครัวลงเรือหนีไปยังเมืองบันทายมาศเจ้าตากตีเมืองจันทบุรีได้ เมื่อวันอาทิตย์ เดือน 7 แรม 3 ค่ำ จุลศักราช 1129 ปีกุน นพศก เพลา 3 ยามเศษ ตรงกับวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2310 เวลาประมาณ 03.00 น. หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาแล้ว 2 เดือน
จะเห็นได้ว่า ในการออกรบทำศึกสงครามของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระองค์ทรงคำนึงในเรื่องของฤกษ์ยามเป็นสำคัญ คราวศึกตีเมืองจันทร์ จับยามสามตา
"พอได้ฤกษ์เวลาดึก 3 นาฬิกา (สามยาม) พระเจ้าตากก็เสด็จทรงช้างพระที่นั่งพังคิรีบัญชร เข้าตีประตูเมือง"
ทำไมออกศึกทุกครั้ง พระเจ้าตากต้องรอฤกษ์เวลา "สามยาม"
ฤกษ์ยามดี หมายถึง ผลแห่งชัยชนะ นอกจากเรื่องต่อสู้ การคำนวนฤกษ์ ยาม พิชัยสงคราม ก็ไม่เป็นสองรองใคร คติที่ปรากฏในวรรณคดีบาลีรวมถึงวรรณคดีบาลีที่แปลแต่งเป็นภาษาไทยว่าไว้ต่างกัน คือกำหนดว่า คืนหนึ่งมี 3 ยาม ยามหนึ่งมี 4 ชั่วโมง เรียกยามทั้ง 3 ช่วงนี้ตามลำดับว่า ปฐมยาม (อ่านว่า ปะ -ถม-มะ -ยาม) ทุติยยาม (อ่านว่า ทุ -ติ-ยะ -ยาม) และปัจฉิมยาม (อ่านว่า ปัด-ฉิม-มะ -ยาม) ตามลำดับ
ปฐมยาม หรือ ยามแรก ได้แก่ช่วงเวลา 18.00-22.00 น.
ทุติยยาม หรือ ยามที่ 2 ได้แก่ช่วงเวลา 22.00-02.00 น. และ
ปัจฉิมยาม หรือ ยามสุดท้าย ได้แก่ช่วงเวลา 02.00-06.00 น.
ยามตามคตินี้ปรากฏในเรื่องมงคลสูตรคำฉันท์ (อ่านว่า มง-คน-ละ -สูด-คำ-ฉัน) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์จากมงคลสูตรและอรรถกถามงคลสูตร (อ่านว่า อัด-ถะ-กะ -ถา-มง-คน-ละ -สูด) ความตอนหนึ่งกล่าวถึงเทวดามาเฝ้าพระพุทธเจ้าหลังพ้นปฐมยามหรือพ้นเวลา 22.00 น. ไปแล้ว เพื่อทูลถามพระพุทธเจ้าว่า สิ่งใดเป็นมงคล
ขอบคุณข้อมูลจาก : หอจดหมายเหตุฯ วัดบางเดื่อ อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา (หนุ่ม บางเดื่อ)
ขอบคุณภาพจาก : ละคร หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ช่อง 3
ขอบคุณคลิปจาก : https://www.youtube.com/watch?v=QfA13LLi4dI






