- 20 มิ.ย. 2560
จ่อ"สนทนาธรรม"ขึ้นบัญชีดำ 400 วัด พัวพัน"กินเงินทอน" กำจัดเห็บเหา "บิ๊กพศ."มือถือสากปากถือศีล!!!
ความโลภคือรากของความชั่วร้าย
อิมามอะลี(อ.) กล่าวว่า "ความโลภคือกุญแจไปสู่ปัญหา และนำมนุษย์ไปสู่ความยากลำบาก เป็นสาเหตุให้เขาต้องทำความผิดบาป"
ดูเหมือนจะกลายเป็นมหากาพย์เสียแล้ว สำหรับปมฉาววงการพระพุทธศาสนากับพฤติกรรม "มือถือสากปากถือศีล" ที่นำทีมโดย "อดีตผอ.สำนักพุทธ" ซึ่งมักปรากฏภาพการร่วมบุญสม่ำเสมอ โดยเฉพาะกับวัดดังย่านจ.ปทุมฯ ก็แปลได้ว่า น่าจะรู้จักเรื่องบาปบุญคุณโทษเป็นอย่างดี
ย้ำกันอีกที !!สำหรับ วิธีการโกงเงินหักหัวคิว หรือเงินทอน ..
เจ้าหน้าที่ของพศ. ทำการติดต่อไปยังวัดเสนอข้อตกลง"งบอุดหนุน" (ส่วนนี้เป็นงบอุดหนุนที่จ่ายให้กับวัดใน 3 กรณี คือ 1.เพื่อไปปฏิบัติบูรณะซ่อมแซม 2.เพื่อการศึกษาพระปริยัติธรรม และ 3.เพื่อการเผยแผ่ ดำเนินกิจกรรมทางศาสนา ) โดยจะแบ่งให้วัดเพียง25%ของจำนวนเงินทั้งหมด จากนั้นวัดส่งเรื่องขอ"งบอุดหนุน" ไปยังจังหวัดรวบร่วมต่อให้ทางพศ. เมื่อพิจารณาอนุมัติเรียบร้อย พศ.จะโอนเงินให้กับวัด 100% เต็มๆ จากนั้นวัดจะเก็บเงินไว้เพียง25% และอีก75% เป็น"เงินทอน" ที่วัดจะต้องโอนคืน ให้กับ"ขบวนการหักหัวคิว"
ซึ่งอำนาจการจัดสรรงบเป็นของหัวหน้าส่วนราชการผู้ถืองบฯ แต่ พศ.ไม่ใช่กรม และไม่ใช่กระทรวง ดังนั้น ผอ.พศ.จึงทำหน้าที่หัวหน้าส่วนราชการ โดยหลักการจะจัดสรรตามความจำเป็น
ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน พ.ต.อ.จักษ์ เพ็งสาธร รอง ผบก.ปปป. เดินทางไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อยื่นสำนวนตรวจสอบกรณีทุจริตเงินอุดหนุนงบประมาณบูรณปฏิสังขรณ์วัดให้กับ ป.ป.ช. เพิ่มเติมอีก 5 คดี ประกอบด้วยสำนวนคดีใน จ.อำนาจเจริญ 3 คดี จ.พระนครศรีอยุธยา 1 คดี และ จ.ลำพูน 1 คดี จำนวน 6 แฟ้มเอกสาร หลังจากเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ได้ยื่นให้ ปปช. ไปแล้ว 7 คดี
พ.ต.อ.จักษ์ เปิดเผยว่า บก.ปปป. ได้รวบรวามพยานหลักฐานการทุจริตเงินบูรณปฏิสังขรณ์วัดให้ ป.ป.ช. ไปแล้ว 12 คดี จากที่มีการตรวจสอบวัด 30 แห่งทั่วประเทศ และเตรียมจะตรวจสอบวัดที่อยู่ในข่ายต้องสงสัยอีก 400 แห่ง ดังนั้นถ้าประชาชนมีข้อมูลหลักฐานเพิ่มเติม ขอให้ส่งมาให้ บก.ปปป. เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ทันที และในวันที่ 20-23 มิถุนายน คณะทำงานของ บก.ปปป. จะลงพื้นที่ติดตามสอบสวนขยายผลในพื้นที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
ส่วนการดำเนินการกับกลุ่มผู้กระทำความผิดนั้น ในเบื้องต้นได้แจ้งข้อหาบุคคลที่เกี่ยวข้องไปแล้วทั้ง 9 ราย แต่ยังมี 4 ราย ที่ยังไม่ยอมมารับข้อกล่าวหา เป็นอดีตข้าราชการระดับสูง 1 คน และพลเรือน 3 คน ในฐานความผิดทุจริตยักยอกเงินราชการ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 147 และ 157 ซึ่งมั่นใจ 100% ว่า พยานหลักฐานในสำนวนคดีแน่นหนาและชัดเจนเพียงพอที่ ป.ป.ช. จะสามารถพิจารณาตั้งคณะกรรมการไต่สวนผู้ถูกกล่าวหาได้ทันที
อย่างไรก็ตาม ในยุคของการปฏิรูปเพื่อนำไปสู "ไทยแลนด์ 4.0" นั้น
เรื่องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อาทิ พ.ร.บ.สงฆ์ พ.ศ. 2505, กฎกระทรวงปี 2511, กฎมหาเถรสมาคม ระเบียบ คำสั่งต่างๆ ให้ทันสมัยบังคับใช้ได้จริง อาทิ การกำหนดให้สำนักงานพระพุทธศาสนามีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินวัด และรายงานผลการตรวจสอบให้ มส. นายกรัฐมนตรี และสาธารณชนรับทราบ หากการตรวจสอบพบว่ามีความไม่โปร่งใสให้ดำเนินการตามกฎหมายขั้นเด็ดขาด จากเดิมที่เพียงให้วัดแค่ส่งบัญชีทรัพย์สินมาให้สำนักพุทธศาสนาแห่งชาติเก็บไว้เท่านั้น แต่ไม่เคยตรวจสอบและไม่เคยมีบทลงโทษ
ได้แต่หวังว่าการสร้างบรรทัดฐานความโปร่งใสเรื่องผลประโยชน์มหาศาลภายในวัดจะเกิดขึ้นจริง ในยุค"รัฐบาลลุงตู่" โดยก่อนจะไปถึงขัดนั้น ก่อนอื่นคงต้องหาวิธีกำจัดเห็บเหาให้สิ้นซาก