- 26 ก.ย. 2560
ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th
ความลี้ลับมหัศจรรย์ในพระพุทธศาสนานั้นเป็นสิ่งที่ยังคงปรากฏอยู่ทุกยุคทุกสมัย ท้าทายความเชื่อตามหลักวิทยาศาสตร์ของคนยุคปัจจุบัน หากแต่ปาฏิหาริย์ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาตินั้นมักปรากฏเป็นเหตุการณ์เฉพาะตัว บุคคล ที่ทางพระเรียกว่า “ปัจจัตตัง” เท่านั้น และหนึ่งในเรื่องราวหลากร้อยหลายพันเรื่องปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นภายใต้ร่มเงาแห่งพระพุทธศาสนานั้น เรื่องของ “โลกอุดร” ซึ่งหมายถึงผู้ที่สำเร็จ ในธรรมะ มีฤทธิ์และมีอายุยืนนานผิดคนธรรมดาสามัญ
หลวงปู่บู่ เองก็เป็นพระที่สมควรได้คำว่า “ โลกอุดร” ถึงน่าจะเหมาะสมกับการเป็นอยู่ของหลวงปู่จริงๆ ซึ่งเหมือนกับปฏิปทาของหลวงปู่สรวง เทวดาเล่นดิน เหมือนแกะจากพิมพ์เดียวกัน การเป็นอยู่ของหลวงปู่บู่ อยู่อย่างเรียบง่ายทำตามได้ยาก เป็นพระที่มักน้อยจริงๆ สันโดษก็สันโดษจริงๆ กุฏิที่หลวงปู่อยู่จำวัดก็พังแหล่ไม่พังแหล่ เก่าสุดเก่า ถึงแม้จะมีศรัทธามาสร้างกุฏิถวายหลวงปู่หลังใหม่ก็ตาม หลวงปู่ไม่ได้ยินในลาภ ยังคงจำวัดในกุฏิเก่าๆ หลังเดิม เห็นแล้วทำตามหลวงปู่ได้ยากจริงๆ จีวรห่มก็เก่าๆ การเป็นอยู่หลับนอนก็เปลใต้ต้นมะม่วง บางครั้งก็ขึ้นไปนอนบนต้นมะม่วง การนอนของหลวงปู่จะนอนในท่าสีหะไสยาศตลอด บางวันอากาศร้อนๆหลวงปู่บู่ก็ลุกขึ้นมาก่อไฟผิง ไม่สนใจใคร ฝนตกก็เดินตากฝน หน้าหนาวหลวงปู่ก็เดินตากอากาศหนาว อย่างไม่กลัวความหนาว นับได้ว่าเป็นการอยู่ที่เป็นไปเพื่อการปล่อยวางในโลกกรรมอย่างแท้จริง โดยหลวงปู่ไม่ยินดียินร้ายในคำสรรเสริญ ยกย่อง คำนินทา ใครจะด่าว่าร้ายหลวงปู่ก็ช่าง จะมีลาภหรือไม่มีลาภ หลวงปู่ก็ไม่หวั่นไหว ใครจะมียศมีตำแหน่งหลวงปู่ก็นิ่งเฉย โลกใบนี้มันจะสุขหรือจะทุกข์มันก็เป็นมาอย่างนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไร ซึ่งการอ่านเขียนหนังสือนั้นไม่ค่อยเก่ง เพราะท่านมุ่งปฏิบัติดูจิตอย่างเดียว มีแต่คนเฒ่าคนแก่มีอายุ ๗๐-๘๐ ปี ได้เล่าให้ฟังว่าเคยเห็นท่านเมื่อตอนหนุ่มๆ เป็นอยู่อย่างไรทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนี้ ไม่เห็นท่านแก่เลย ...
มีเรื่องเล่ากัน ปีพ.ศ. ๒๕๕๒ มี คณะของสำนักชลประทานมี่ ๕ จากจังหวัดอุดรธานีได้ไปกราบนมัสการหลวงปู่บู่ พร้อมท่านพระอาจารย์ปกรณ์ กนฺตวีโร แห่งวัดถ้ำภูผาแด่น จ.สกลนคร ขณะที่สนทนากันส่วนมากจะเกี่ยวกับเรื่องธรรมะและการปฏิบัติกับหลวงปู่บู่ สังเกตดูใครถามท่านๆก็จะตอบถ้าไม่ถามท่านๆก็จะนิ่งเฉยเสียโดยไม่มีความ รู้สึกยินดียินร้ายต่อสภาวะแวดล้อมขณะนั้นใดๆทั้งสิ้น มีบุคคลหนึ่งในคณะถามท่านถึงเรื่องความฝันเพราะอาจจะนำคำพูดของท่านมาตี เป็นเลขหวยก็ได้
ว่าหลวงปู่ฝันดีบ่ ท่านก็บอกบ่ฝันดอก บุคคลนั้นก็ถามต่อว่าหลวงปู่ชอบเลขอะไร หลวงปู่ก็ตอบว่า “มักเลข ๘” คำ ตอบของหลวงปู่ทำให้คณะของชลประทานนั้นถึงกับอึ้งและงงกันไปพักใหญ่ว่าหลวง ปู่ให้เลขตัวเดียวแล้วจะหาตัวเลขอื่นมาผสมอย่างไรให้ครบสองตัว
ขณะที่ทุกคนในคณะกำลังงุนงงกับคำพูดปริศนาของหลวงปู่อยู่นั้น บุคคลที่ถามท่านก็นึกได้และเฉลยให้ทุกคนในที่นั้นฟังและได้ยินกันทั่วทุกคน จนทำให้คำพูดที่เป็นปริศนาของหลวงปู่หมดไป ว่าที่แท้คำว่า “มักเลข ๘” ของหลวงปู่นั้นคงหมายถึง มรรคแปด ซึ่งเป็นทางเดินแห่งพระอริยะมรรคของพระอรหันต์เท่านั้น เมื่อบุคคลนั้นในคณะเรียนถามหลวงปู่บู่อีกว่า มักเลข ๘ หมายถึง มรรคแปดใช่ไหม หลวง ปู่ท่านก็ได้แต่ยิ้มๆและไม่ตอบหรือพูดว่าอะไรแม้สักคำเดียว (มักภาษาลาวแปลว่าชอบ ภาษาธรรมแปลว่าทางเดินของพระอริยะมรรคอันมีองค์แปดนั่นเอง)
ถึงแม้เราจะไม่สามารถกล่าวได้ว่า ท่านสำเร็จธรรมระดับไหน ทว่าจากปฏิปทา และ จริยวัตรอันงดงาม ทำให้เรากล่าวยืนยันได้ว่า หลวงปู่ เป็นพระอริยะอีกรูปหนึ่ง ที่น่าเลื่อมใส
และจากเหตุฆาตกรรมที่เกิดขึ้นกับหลวงปู่บู่นั้น แน่นอนว่าผู้กระทำผิดจะต้องได้รับผลกรรมแน่นอน ทั้งผลกฎหมายทางโลก และผลจากบาปกรรม ตามกฎแห่งกรรม!!
การฆ่าพระอริยะ หรือ พระอรหันต์นั้น นับเป็นคุรุกรรม หรือกรรมหนัก ในข้อ อรหันตฆาต หรือ การฆ่าพระอรหันต์ บุคคลผู้ใดมีเจตนาชั่วร้าย ฆ่าพระอรหันต์ ได้ชื่อว่าเป็นอรหันต์ฆาตทั้งนั้นคฤหัสถ์ที่บรรลุธรรมวิเศษ เป็นพระอรหันต์ แต่ยังไม่ทันได้บวชเป็นพระสงฆ์ ผู้ใดฆ่าก็เป็นอนันตริยกรรม และถึงแม้ขณะเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ท่านถูกทำร้ายด้วยอาวุธหรือยาพิษในน้ำดื่มหรืออาหาร เกิดทุกขเวทนา แล้วท่านได้กำหนดเอาทุกขเวทนามาเป็นบาทแห่งวิปัสสนา จนเกิดมรรคผลสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วดับผลสู่นิพพาน ผู้ทำร้ายย่อมได้ชื่อว่า เป็นผู้ฆ่าพระอรหันต์ อย่างไรก็ตาม ผู้ฆ่าพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี ถึงแม้จะไม่ได้ชื่อว่า เป็นอรหันตฆาต แต่ก็มีบาปหนักเสมอ อนันตริยกรรม โดยผู้กระทำกรรมนี้จะต้องตกอเวจีมหานรก ตลอดกัป คือ นับชาติไม่ถ้วน
ที่มา : tarad.com/ กรรมทีปนี (กรรม 12 อย่าง) - โดยท่านเจ้าคุณพระเทพมุนี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.9)