ติดตามรายละเอียด www.tnews.co.th

 

นางสิทธิณี กิตติสิทโธ หรือ อิ๋งอิ๋ง อดีตพิธีกรสาวชื่อดัง เข้าแจ้งความกับตำรวจกองปราบปราม หลังจากได้รับแจ้งจากธนาคารธนชาตซึ่งเป็นเจ้าของบัตรเครดิตที่ตนเองใช้อยู่ ว่ามีการใช้เลขหน้าบัตร วันหมดอายุ และรหัส 3 ตัวที่หลังบัตรเครดิตไปใช้ซื้อของผ่านระบบเกมออนไลน์ระหว่างวันที่ 23 ถึง 24 มิถุนายนที่ผ่านมาจำนวนรวมกว่า 20 ครั้ง ครั้งละตั้งแต่ 300 ถึง 600 บาท รวมมูลค่ากว่า 10,000 บาท จึงติดต่อกับเพื่อนที่เป็นตำรวจให้ช่วยตรวจสอบการใช้บัตรเครดิตของตนเองจนพบว่าผู้ก่อเหตุเป็นพ่อลูกคู่หนึ่งโดยผู้เป็นพ่อเป็นข้าราชการส่วนลูกชายอายุเพียง 10 ขวบเท่านั้น ซึ่งขณะนี้ตนเองยังไม่ทราบว่าผู้ก่อเหตุนำเลขหน้าบัตร, วันหมดอายุ,และเลขรหัสลับ 3 ตัวหลังบัตรเครดิตของตนเองไปใช้ได้อย่างไร เพราะบัตรเครดิตของตนเองจะใช้ ในเวลาซื้อตั๋วเครื่องบิน ร้านอาหาร และการเติมน้ำมันตามปั้มน้ำมันต่างๆ เท่านั้น  อีกทั้งพ่อลูกทั้งสองคนนี้ตนเองก็ไม่เคยรู้จักมาก่อน จึงไม่ทราบว่า นำข้อมูลส่วนตัวของตนเองไปใช้ได้อย่างไร

 

เบื้องต้นพนักงานสอบสวนกองปราบปรามได้ทำการสอบสวนนางสิทธิณีอย่างละเอียด ก่อนที่จะเรียกสองพ่อลูกที่ปรากฏในข้อมูลมาทำการสอบสวนอีกครั้ง

สำหรับเกมดังกล่าวที่ถูกนำข้อมูลในบัตรไปใช้คือเกมส์ “โทเรบะ”(Toreba) หรือเกมส์ตู้คีบตุ๊กตาออนไลน์ ซึ่งเป็นเกมของประเทศญี่ปุ่น โดยผู้เล่นจะต้องทำการเติมเงินก่อนที่จะเล่นตู้คีบตุ๊กตาตามที่ตนเองต้องการ ซึ่งจะต้องเสียเงินครั้งละตั้งแต่ 60 ถึง 70 บาท โดยผู้เล่นจะซื้อเหรียญที่ใช้ในการหยอดตู้จำนวนเท่าไหร่ก็ได้ ซึ่งบางรายอาจซื้อเหรียญไว้ได้ถึงครั้งละ 9,000 บาท

 

ขณะที่ พลตำรวจตรีไมตรี ฉิมเฉิด ผู้บังคับการกองปราบปราม เปิดเผยว่า กรณีของคุณอิ๋งอิ๋ง  เบื้องต้นจากการตรวจสอบขณะนี้ทราบแล้วว่าผู้ก่อเหตุเป็นใคร เพราะก่อนหน้านี้มีผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความกับกองบังคับการปราบปรามอีกหลายราย  โดยพฤติการณ์การก่อเหตุคล้ายกัน อีกทั้งผู้ก่อเหตุยังพบว่า เป็นกลุ่มบุคคลเดียวกัน หรือเป็นครอบครัวเดียวกัน  โดยจะสลับกันก่อเหตุ บางรายโดนสามีเป็นคนแฮคและนำให้ลูกไปซื้อของในเกมส์  บางรายเป็นภรรยาแฮกและนำไปให้ลูกซื้อของ ในเกมส์ 

แต่จากการตรวจสอบข้อมูลในเบื้องต้นพบว่าครอบครัวนี้ไม่ได้มีความสามารถด้านไอทีมากนักจนถึงขนาดที่จะแฮกข้อมูลได้ จึงคาดว่าครอบครัวดังกล่าวน่าจะตกเป็นเหยื่อที่ถูกนำมาใช้เป็นฉากหน้าอีกทีหนึ่ง 

พฤติการณ์ดังกล่าวอาจเป็นการทดลองก่อเหตุในเงินจำนวนไม่มาก ก่อนที่จะเริ่มก่อเหตุนำไปซื้อสินค้าที่มีมูลค่าสูงมากกว่านี้ ซึ่งหลังการเเจ้งความ จะเรียกครอบครัวดังกล่าวมาสอบสวนอย่างละเอียด หากพบว่า มีกลุ่มบุคคลอื่นมาเกี่ยวข้องอีก ก็จะออกหมายเรียกมาให้สอบสวนเพิ่ม

ทั้งนี้จึงฝากเตือนไปถึงประชาชนให้ระมัดระวังข้อมูลเกี่ยวกับบัตรเครดิต ซึ่งจากการสอบถามธนาคารเจ้าของบัตรดังกล่าว ทราบว่ามีวิธีการที่สามารถป้องกันได้ คือ ให้ขูดเลขรหัสยืนยัน 3 ตัว ที่อยู่ด้านหลังบัตรเครดิตออก และให้ใช้วิธีการจดจำหรือถ่ายรูปไว้แทน ซึ่งการนำบัตรเครดิตไปซื้อสินค้าต่างๆไม่จำเป็นต้องใช้เลข 3 หลักด้านหลังบัตร แต่ตัวเจ้าของบัตรเองต้องจำเลขทั้ง 3 หลักนี้ให้ได้ เพราะเลขทั้งสามหลักจะใช้ในการซื้อของออนไลน์หรือซื้อเที่ยวบินในและต่างประเทศ  ทั้งนี้ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในระบบการดูแลรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลและทรัพย์สินของทุกธนาคาร  เนื่องจากก่อนหน้านี้ตนเองก็เคยถูกแฮกข้อมูลบัตรเครดิต แต่มีการแจ้งเตือนจากธนาคารจนสามารถป้องกันไม่ให้เกิดความสูญเสียได้