ชัดเจน!!!...รถหรู “สมเด็จช่วง”เลี่ยงภาษี6.8ล้าน จ่อปรับพ่วงคดีอาญา

ยังคงตอบโต้ผ่านสื่อกันแบบรายวันสำหรับประเด็นคดีรถหรูของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ระหว่างฝ่ายรัฐ กับทีมทนายวัดปากน้ำภาษีเจริญ ซึ่งต่างฝ่ายก็ต่างกล่าวหากันไปมา จนสร้างความ

ยังคงตอบโต้ผ่านสื่อกันแบบรายวันสำหรับประเด็นคดีรถหรูของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ระหว่างฝ่ายรัฐ กับทีมทนายวัดปากน้ำภาษีเจริญ

ซึ่งต่างฝ่ายก็ต่างกล่าวหากันไปมา จนสร้างความสับสนให้สังคมผู้ติดตามว่าข้อเท็จจริงที่เป็นเงื่อนไขของการดำเนินคดีในครั้งนี้อยู่ที่ตรงไหน

นายสมศักดิ์ โตรักษา ชี้แจง เกี่ยวกับรถยนต์โบราณยี่ห้อเมอร์เซเดส เบนซ์ ทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร โดยตอบโต้ดีเอสไอว่า การเปิดเผยเกี่ยวกับข้อกล่าวหาแต่ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหานั้น กระทบสิทธิสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เพราะทำให้สื่อมวลชนและประชาชนเชื่อว่าสมเด็จฯทำผิด ก่อให้เกิดความเสื่อมเสีย ความวุ่นวายในคณะสงฆ์ และมีผลกระทบ ต่อการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช

พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ตอบโต้นายสมศักดิ์ว่า

เป็นทนายความของใคร ก็ต้องหาความเป็นธรรมให้กับลูกความของตัวเอง และอะไรที่เห็นว่าพนักงานสอบสวนทำไม่ถูก ก็ฟ้องร้อง แต่ถ้าฟังในเรื่องที่ทนายความชี้แจง อาจสร้างความสับสน ทนายความนำข้อมูลมาจากที่ไหน แต่พนักงานสอบสวนชี้แจงผ่านทางเอกสารแล้ว ดังนั้นทนายความต้องไปอ่านเอกสารหน้าที่พนักงานสอบสวนชี้แจง แล้วตีความตามนั้น ไม่ใช่อ่านตามสื่อ

ทั้งนี้ สำหรับในส่วนของคดีความดังกล่าว ในการที่จะเชื่อมโยงไปถึงสมเด็จช่วงในฐานะที่เป็นผู้ครอบครองรถยนต์นั้น ก็คือมีส่วนรู้เห็นกับการกระทำผิดกฎหมายมาตั้งแต่ต้นหรือไม่

โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องของการชำระภาษีสรรพสามิต ซึ่งตอนนี้กำลังรอให้กรมสรรพสามิต ได้สรุปออกมาว่ารถคันดังกล่าวได้มีการหลีกเลี่ยงภาษีเป็นจำนวนเงินเท่าไร

สำหรับผู้ครอบครองรถยนต์เสียภาษีไม่ครบจะมีความผิดตามมาตรา 161(1) พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527

 

มาตรา 161 ผู้ใด

(1) มีไว้ในครอบครองซึ่งสินค้าโดยรู้ว่าเป็นสินค้าที่มิได้เสียภาษีหรือเสียภาษีไม่ครบถ้วน เว้นแต่ในกรณีที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมมีไว้ในโรงอุตสาหกรรมหรือในคลังสินค้าทัณฑ์บน

 

ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่สองเท่าถึงสิบเท่าของค่าภาษีที่จะต้องเสีย แต่ต้องไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยบาท

พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวว่า ขณะนี้กรมสรรพสามิตได้ส่งหนังสือประเมินภาษีของรถเบนซ์มาแล้ว มีการกระทำผิดจริงตาม พ.ร.บ.สรรพสามิต ดังนั้นดีเอสไอจะสอบปากคำเจ้าหน้าที่สรรพสามิตเพื่อยืนยันคำให้การตามเอกสาร จากนั้นจะพิจารณาออกหมายเรียกมารับทราบข้อหาในลำดับต่อไป

รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตทำหนังสือส่งมายังอธิบดีดีเอสไอ เป็นการแจ้งผลการตรวจสอบดังกล่าว ตามหนังสือที่อ้างถึงการสอบสวนคดีพิเศษ ขอให้กรมสรรพสามิตประเมินภาษีอากรรถยนต์จากอุปกรณ์ชิ้นส่วนรถยนต์เก่าของรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ หมายเลขตัวรถ 18601400420/53 หมายเลขเครื่องยนต์ 1869204500552 ปรากฏพยานหลักฐานเป็นหนังสือสัญญาซื้อขายที่แท้จริง ณ โรงงานอุตสาหกรรม เป็นราคา 4,000,000 บาท กรมสรรพสามิตได้ตรวจสอบพบว่าผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยังไม่ได้ชำระภาษีสรรพสามิต จึงประเมินภาษีสรรพสามิตผู้ผลิตรถยนต์รายนายวิชาญ รัษฐปานะ ดังนี้ ค่าภาษีสรรพสามิต 1,600,000 บาท เบี้ยปรับ 3,200,000 บาท เงินเพิ่ม 1,440,000 บาท ภาษีเก็บเพิ่มเพื่อมหาดไทย 624,000 บาท รวมเป็นภาษีทั้งสิ้น 6,864,000 บาท

 ต้องทำความเข้าใจกันก่อนนะค่ะว่า กระบวนการนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของคดีเท่านั้น โดยดีเอสไอต้องการความชัดเจนในทางแพ่งว่าการครอบครองรถหรูของสมเด็จช่วงนั้น มีการชำระภาษีไม่ถูกต้องจริงหรือไม่

ซึ่งเมื่อได้รับการยืนยันมาจากกรมสรรพสามิตแล้ว ดีเอสไอก็จะนำเอาข้อมูลดีไปเชื่อมต่อในทางคดีอาญา ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องอีกหลายฝ่าย

สรุปก็คือเมื่อดีเอสไอได้รับหนังสือตอบจากกรมสรรพสามิตแล้วได้เห็นพ้องร่วมกับพนักงานอัยการแจ้งข้อกล่าวหาว่าผู้เกี่ยวข้อง เนื่องจากหนังสือฉบับดังกล่าวจะเป็นพยานหลักฐานการ กระทำผิดกฎหมายตาม พ.ร.บ.สรรพสามิต มาตรา 161(1)

 

ในส่วนพระมหาศาสนมุนี หรือหลวงพี่แป๊ะ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ และ นายวิชาญ รัษฐปานะ เจ้าของอู่รถโบราณ เข้าข่ายการกระทำความผิดตามกฎหมายสรรพสามิต และขณะนี้อยู่ระหว่างการออกหนังสือเรียกมารับทราบข้อหา

 ที่กล่าวมาทั้งหมดล้วนเป็นแนวทางการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ ที่ต้องพยายามต่อจิ๊กซอว์ของเหตุการณ์เข้าด้วยกันตามหลักฐานข้อเท็จจริง

เนื่องจากว่าขบวนการกว่าจะประกอบรถขึ้นมา 1 คัน นั้นมีส่วนที่คาบเกี่ยวหลายต่อหลายขั้นตอน

หากย้อนไปยังผลการตรวจสอบประเด็นรถจดประกอบ เลี่ยงภาษีจะพบว่า ดีเอสไอ พิจารณาพยานหลักฐานทั้งในส่วนของ ตัวรถ และ บุคคลโดยกรณีของตัวรถทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร ผลสอบชี้ชัดเป็นรถจดประกอบผิดกฎหมาย เพราะกระทำผิดทุกขั้นตอนด้วยการใช้เอกสารเท็จตั้งแต่การนำเข้าชิ้นส่วน การประกอบรถ การชำระภาษีสรรพสามิต และการจดทะเบียน

เริ่มกลางกลุ่มที่ 1 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการนำเข้าอุปกรณ์ประกอบรถยนต์

5 คน ประกอบด้วย

1.นายเกษมศักดิ์ ภวังคนันท์

2.นายชลัช นิติฐิติวงษ์

3.นายสมนึก บุญประไพ

4.นายวสุ จิตติพัฒนกุลชัย

5.นายพิชัย วีระสิทธิกุล

 

นอกจากนี้ยังเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการใช้เอกสารเท็จนำเข้า ชำระภาษีสรรพสามิต และจดทะเบียนกับกรมการขนส่ง ซึ่งถือเป็นความผิดทั้งพ.ร.บ.ศุลกากร พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต และประมวลกฎหมายอาญาเกี่ยวกับกรณีร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ และร่วมกันปลอมเอกสาร

ซึ่งก่อนหน้านี้ดีเอสไอแจ้งข้อหาไปแล้ว 3 ราย คือ นายเกษมศักดิ์ นายชลัช และนายสมนึก และที่เหลืออีก 2 ราย เตรียมแจ้งข้อหาเพิ่ม

ประการสำคัญก็คือการที่สมเด็จช่วงมีชื่อครอบครองรถคันดังกล่าวตั้งแต่ต้นเพียงชื่อเดียว และมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องตั้งแต่ขั้นตอนการประกอบรถไปจนถึงการจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก โดยมีออร์เดอร์สั่งซื้อของ "หลวงพี่แป๊ะ" หรือพระมหาศาสนมุนี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ

โดยขั้นตอนการประกอบรถพบมีการ สั่งจ่ายเช็ค 1 ล้านบาท ให้อู่ประกอบรถ ขณะที่การยื่นจดทะเบียนรถกับกรมการขนส่งทางบกก็ปรากฏลายมือชื่อสมเด็จช่วงเป็นผู้ลงนามขอยื่นจดทะเบียน เบื้องต้นดีเอสไอขอให้รอฟังผลการประเมินภาษีตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต ซึ่งเป็นความผิดหลัก ก่อนขยับไปสู่ขั้นตอนพิจารณา โทษอาญา

ทั้งนี้จากกระบวนการดังกล่าวที่ได้ไล่เรียงไปนั้น ท้ายที่สุดเมื่อดีเอสไอสามารถประกอบสำนวนตามหลักฐานข้อเท็จจริงแล้ว ถึงจะสามารถนำไปสู่การตั้งข้อกล่าวที่เกี่ยวกับคดีอาญาดังต่อไปนี้

กรมสอบสวนคดีพิเศษเห็นว่าอาจเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 27 ในเรื่อง พยายามหลีกเลี่ยงการเสียค่าภาษีศุลกากร หรือในการหลีกเลี่ยง หรือพยายามหลีกเลี่ยงบทกฎหมายและข้อจำกัดใด ๆ อันเกี่ยวแก่การนำของเข้า

ส่วนผู้ครอบครองอาจเป็นความผิดตามมาตรา 27 ทวิ ฐานการรับไว้โดยประการใดซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงอากร นอกจากนั้นตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราภาษีศุลกากร พ.ศ.2530 มาตรา 6 กำหนดว่า ถ้าอธิบดีกรมศุลกากรเห็นว่ามีการหลีกเลี่ยงอากรที่พึงเก็บแก่สิ่งที่สมบูรณ์แล้ว โดยวิธีการนำสิ่งนั้นเข้ามาเป็นส่วน ๆ ต่างหากจากกัน จะเป็นวาระเดียวกันหรือต่างวาระกันก็ดีก็ให้เรียกเก็บอากรแก่ส่วนนั้น ๆ รวมกัน ในอัตราที่ถือเสมือนว่าเป็นสิ่งที่ได้ประกอบมาสมบูรณ์แล้ว ซึ่งกรมจะมีหนังสือแจ้งอธิบดีกรมศุลกากรพิจารณาตามบทกฎหมายดังกล่าว

พี่ ส่วนความผิดฐานปลอมเอกสารเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นความผิดอีกฐานหนึ่งที่ต้องดำเนินการควบคู่กันไป รวมทั้งความผิดอื่นที่อาจพบในภายหลังด้วย

เห็นได้อย่างชัดเจนว่าคดีรถเบนซ์หรูของสมเด็จช่วงนั้น มีผู้ที่เกี่ยวข้องทุกขั้นตอน ซึ่งหลังจากนี้เมื่อดีเอสไอได้รับการยืนยันมาจากกรมสรรพสามิตว่ารถคันดังกล่าวมีการชำระภาษีไม่ถูกต้อง ก็จะต้องมีการเทียบค่าปรับต่อไป

และต่อจากนั้นก็จะนำเอาเรื่องนี้ไปเป็นหลักฐานเชื่อมโยงไปยังผู้เกี่ยวข้องรายอื่น ซึ่งจะทำให้ทราบว่าสาเหตุที่ต้องการหลีกเลี่ยงภาษีนั้น ก็เพื่อต้องการเซฟค่าใช้จ่าย โดยการแจ้งเท็จ ปลอมแปลงเอกสาร ซึ่งมีโทษทางอาญา

หรือจะอธิบายในทางกลับกันถ้าหากรถคันดังกล่าวมีการชำระภาษีถูกต้องทุกบาททุกสตางค์ ก็คงไม่มีเหตุที่จะต้องทำผิดกฎหมาย ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนในวงการรถจดประกอบจะรับทราบกันเป็นอย่างดี