โอ้เป็นไปได้เหรอเนี่ย !!! AIS ยอมรับมีผู้บริหารระดับสูงร่วมขโมยข้อมูลลูกค้าส่งต่อภายนอก ขณะผู้เสียหายแฉมีอีกกว่า 100 เลขหมายถูกละเมิดสิทธิ์

ติดตามรายละเอียด http://deeps.tnews.co.th

     สืบเนื่องจากกรณีที่นายชยพลปกรณ์  ศรัทธาณรงค์   ผู้เสียหายกรณีถูกขโมยข้อมูลโทรศัพท์มือถือจากการใช้งานในระบบของ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ได้โพส์เฟสบุ๊กร้องเรียนปัญหาที่เกิดขึ้น  จนนำไปสู่กระบวนการตรวจสอบและพิจารณาลงโทษพนักงานที่กระทำการที่ถือเป็นการละเมิดสิทธิลูกค้าอย่างร้ายแรง     ล่าสุดนายชยพลปกรณ์  ได้เดินทางมายังสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อยื่นเอกสารคำร้องเพื่อขอความเป็นธรรมต่อเหตุการณ์ดังกล่าว

 

 

โอ้เป็นไปได้เหรอเนี่ย !!! AIS ยอมรับมีผู้บริหารระดับสูงร่วมขโมยข้อมูลลูกค้าส่งต่อภายนอก ขณะผู้เสียหายแฉมีอีกกว่า 100 เลขหมายถูกละเมิดสิทธิ์

 

     นายชยพลปกรณ์ กล่าวว่า ตั้งแต่เกิดเรื่องตนเองยังไม่ได้แจ้งความต่อตำรวจ แต่อยู่ระหว่างการรวบรวมพยาน หลักฐาน เพื่อให้ทนายแจ้งความต่อไป ดังนั้นจึงได้เดินทางมายัง กสทช. หลังจากทราบข่าวว่า กสทช.จะมีการประชุมคณะทำงานนัดแรกที่ได้เชิญเอไอเอสเข้ามาชี้แจงข้อมูล เพื่อจะขอร่วมรับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวด้วย เนื่องจากเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ตนเองเท่านั้นที่ถูกนำข้อมูลการใช้งานโทรศัพท์มือถือรวมถึงตำแหน่งที่อยู่ขโมยออกไปให้ผู้อื่น แต่จากเอกสารที่มีผู้หวังดีนำมาให้ยังพบว่าครอบครัวของตนเองทุกคนก็ถูกขโมยข้อมูล ในช่วง 3-4 เดือนก่อน เช่นกัน นอกจากนี้ยังเห็นข้อมูลของผู้อื่นอีกกว่า 100 เลขหมายที่ถูกนำข้อมูลออกมาด้วย

 

     ทั้งนี้ ตนเองเป็นลูกค้าของเอไอเอสมาประมาณ 5 ปี แต่สาเหตุที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น มาจากความขัดแย้งเกี่ยวกับธุรกิจที่ทำ ซึ่งไม่เพียงแต่ตนเองเท่านั้นที่ถูกผู้ไม่หวังดีโทร.ข่มขู่ แต่เพื่อนๆ ในวงการสถาปนิกก็ถูกข่มขู่กันหลายคน แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ดังนั้นจึงขอโฟกัสเรื่องข้อมูลที่ถูกขโมยก่อน หากเอไอเอสมีมาตรการในการป้องกัน เหตุใดจึงไม่รู้ตั้งแต่แรก จึงต้องการให้ กสทช. ตรวจสอบ ซึ่งพร้อมจะเป็นตัวแทนผู้ใช้งานทุกคนที่อาจจะเจอเหตุการณ์เช่นนี้เหมือนกัน ไม่เพียงแต่ค่ายมือถือ เอไอเอส เท่านั้น แต่รวมไปถึงทุกค่ายด้วย เพื่อให้มีมาตรการที่รุดกุมมากกว่านี้

     ด้านนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการกสทช.พร้อมด้วย นายก่อกิจ ด่านชัยวิจิตร รองเลขาธิการ กสทช. ด้านกิจการโทรคมนาคม และเป็นประธานคณะทำงานสอบเรื่องนี้ ได้ลงมารับหนังสือผู้เสียหาย โดยนายฐากร กล่าวว่า จะเชิญผู้เสียหายชี้แจงข้อมูลก่อนเพื่อรับฟังปัญหาจากนั้นจะเชิญตัวแทนจากเอไอเอสสอบถามในปัญหาที่เกิดขึ้น

 

     จากนั้น นายฐากร พร้อมด้วย นายก่อกิจ และ ผู้เสียหาย ลงมาแถลงข่าวร่วมกัน โดยนายฐากร กล่าวว่า ผู้เสียหายแจ้งว่าถูกขโมยข้อมูลตั้งแต่ปี 2557 และอ้างว่ายังมีอีกกว่า 100 เลขหมายที่ไม่ใช่เบอร์ของตนเองถูกขโมยข้อมูลด้วย จึงได้มอบหมายให้เอไอเอสตรวจสอบเบอร์ดังกล่าวว่าถูกล้วงข้อมูลเชิงลึกจริงหรือไม่  ซึ่งกรณีนี้ กสทช.เองถือว่าต้องเป็นผู้เสียหายร่วมด้วย ตามมาตรา 32 พรบ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 ดังนั้นภายในสัปดาห์หน้าจะนำเสนอต่อที่ประชุมกสทช.เพื่อขอความเห็นชอบในการให้สำนักงาน กสทช.แจ้งความอาญาต่อผู้กระทำผิดด้วย
        

     สำหรับผู้กระทำความผิดทางเอไอเอสได้บอกชื่อกับกสทช.แล้วว่าเป็นใคร แต่กสทช.ขอเก็บเป็นความลับ บอกได้แต่เพียงว่าเป็นผู้บริหารระดับสูง 4 ใน 5 คน ที่เอไอเอสอนุญาตให้สามารถดูข้อมูลของลูกค้าได้  ในกรณีที่มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับสัญญาณไม่ดี บิลเก็บเงินไม่เป็นธรรม เท่านั้น   แต่ไม่สามารถดูข้อมูลเชิงลึกได้ถึงตำแหน่งการโทร.อย่างที่เกิดขึ้น ซึ่งเอไอเอสก็ได้แสดงหลักฐานถึงความรับผิดชอบในเรื่องดังกล่าวแล้วว่า หลังจากรับเรื่องร้องเรียนจากที่ผู้เสียหายแจ้งที่ร้านเอไอเอส สาขาเดอะมอลล์ บางกะปิตั้งแต่วันที่ 5 ก.ย. ทางบริษัทก็ได้ตรวจสอบและแจ้งความไว้เมื่อวันที่ 13 ก.ย. และแจ้งความกับผู้กระทำความผิดโดยตรงในวันที่ 15 ก.ย.

 

     โดยเอไอเอสยืนยันว่าระบบของตนเองดีเยี่ยม แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเกิดจากคนกระทำผิด ดังนั้นต่อไปจะเพิ่มมาตรการในการเข้าดูข้อมูลพื้นฐานให้ต้องมีลายเซ็นต์ของผู้บริหาร 2 คน ยืนยันการเข้าดูข้อมูล แต่ยังคงดูได้แค่ข้อมูลพื้นฐานกรณีมีเรื่องร้องเรียน เช่น ค่าโทร. หรือ สัญญาณการโทร. เท่านั้น ไม่สามารถดูรายละเอียดตำแหน่งที่อยู่ของผู้โทร.ได้ นอกจากจะมีหมายศาลเท่านั้น

 

     ส่วนเรื่องการเยียวยาผู้เสียหาย ต้องหารือกับอีกครั้งหนึ่ง ว่าจะดำเนินการได้อย่างไร ซึ่งเรื่องนี้กสทช.ต้องให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย ก่อน ระหว่างนี้ต้องตรวจสอบข้อมูลที่ได้ จึงยังไม่มีข้อสรุป จากนั้นในวันที่ 26 ก.ย.นี้ คณะทำงานฯจะนัดประชุมเพื่อหาข้อสรุปนัดที่สองต่อไป เพื่อให้กรณีนี้ได้ข้อสรุปภายใน 30 วัน