- 03 พ.ค. 2560
ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th
ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดแทนกัมพูชา ที่กรุงเทพฯ เนื่องจากกัมพูชาปฏิเสธการเป็นเจ้าภาพตามคิว การแข่งขันได้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-16 ธันวาคม 2510 มี นักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 984 คน จาก 6 ประเทศ คือ พม่า ลาว มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม และไทย กีฬาที่แข่งขันมี 16 ชนิด คือ เซปักตะกร้อ รักบี้ กรีฑา แบดมินตัน บาสเกตบอล มวยสากล จักรยาน ฟุตบอล ยูโด ว่ายน้ำ ยิงปืน เทเบิลเทนนิส ลอนเทนนิส วอลเลย์บอล ยกน้ำหนักและเรือใบ
ในงานกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 4 เมื่อ พ.ศ. 2510 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้รับการทูลเกล้าฯถวายเหรียญร่วมกันกับทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาฯ จากการแข่งขันเรือใบยังความปีติโสมนัสแก่พสกนิกรชาวไทยโดยถ้วนหน้าโดยเฉพาะในวงการกีฬาของชาติได้มีขวัญและกำลังใจเพิ่มขึ้นอย่างประมาณมิได้
และการแข่งขันครั้งนี้ ทั้งสองพระองค์ทรงสมัครเข้าร่วมการแข่งขันเรือใบ ฐานะนักกีฬาตัวแทนทีมชาติไทยด้วยอย่างไม่ถือพระองค์ และพระองค์พร้อมด้วยทูลกระหม่อมฟ้าหญิงอุบลรัตน์ฯ ทรงชนะเลิศการแข่งขันกีฬาเรือใบประเภท โอ.เค.ร่วมกัน
ปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับทูลกระหม่อมเจ้าฟ้าหญิงทรงมีคะแนนเท่ากันคือ –6 คะแนน อันดับที่ 2 ลาซาริ (มาเลย์) –32.4 คะแนน ที่ 3 ยัน ขิ่น (พม่า) –35.4 คะแนน ที่ 4 เทียน ขิ่น (พม่า) –40.4 คะแนน ที่ 5 โมฮะหมัด บิน บูเต (มาเลย์) –45.4 คะแนน
จากการที่ตำแหน่งที่ 1 นั้น พระองค์ท่าน และ ทูลกระหม่อมฯมีคะแนนเท่ากัน คณะกรรมการจัดการแข่งขัน ผู้แทนจากสหพันธ์เรือใบแห่งนานาชาติ และ ผู้แทนชาติที่เข้าร่วมแข่งขันอันประกอบด้วย พลเรือเอกศิริ กระจ่างเนตร ประธานที่ประชุม มร.โจนาธาน แซมซัน ผู้แทนสหพันธ์เรือใบแข่งนานาชาติ มร.เดวิด สัน จากมาเลเซีย มร.พอล วีเบน และ มร.ฮัน ทุน จากพม่า จึงได้เปิดประชุมกันขึ้น
คณะกรรมการชุดนี้ได้ใช้เวลาประชุมอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง จึงตกลงพร้อมกันถวายชัยชนะอันดับที่ 1แด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ทรงได้รับเหรียญทองเรือใบประเภท โอ.เค.ทั้งสองพระองค์ ส่วนตำแหน่งที่ 2 เหรียญเงินได้แก่ ลาซาริ แห่งมาเลเซีย และ ที่ 3 ยัน ขิ่น แห่งพม่า (เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 14 ธ.ค.2510)
ที่ต้องนับว่าอัศจรรย์ก็คือ เรือใบในการแข่งขันนั้นไม่ได้ทรงสั่งซื้อมาจากต่างประเทศแต่สำเร็จเป็นลำเรือขึ้นมาจากฝีพระหัตถ์
สำหรับข้าราชบริพารใกล้ชิด นี่ไม่ใช่สิ่งอัศจรรย์แต่อย่างใดเพราะว่าได้ทรงศึกษาวิชาช่างไม้มาตั้งแต่ทรงเรียนหนังสืออยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ทรงโปรดการเลื่อยไม้และไสกบอยู่จนค่ำมืด โครงไม้เหล่านี้ในที่สุดก็ได้กลายเป็นเรือใบลำแรกในจำนวนทั้งหมดถึงเจ็ดลำที่ทรงต่อประกอบขึ้นด้วยพระองค์เอง
ทางด้านกองทัพเรือก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการทรงเรือใบแข่งขันกีฬาระหว่างประเทศ แสดงพระอัจฉริยะจนได้เหรียญทอง
อดีตแม่ทัพเรือได้เข้าไปกราบพระบาทหลังจากเสด็จขึ้นจากการทรงเรือแล้ว หลังจากนั้นก็ได้กราบบังคมทูลถามว่า ขณะที่ทรงเรือใบนั้น...ทรงทำอย่างไรบ้างจึงสามารถคว้าชัยชนะมาได้?
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสตอบท่านนายพลเรือผู้นั้นสั้นๆว่า
“ฟังลิเกวิทยุ”
ทั้งนี้ก็เพราะตามปกติแล้วระหว่างที่ทรงเรือใบนั้นจะต้องทรงฟังวิทยุประจำท้องถิ่นเพื่อจะได้ทรงทราบถึงการพยากรณ์อากาศและกำลังลมตลอดจนข่าวสารเกี่ยวกับการเดินเรือ
แต่ในขณะที่ทรงแข่งขันนั้นไม่สามารถจะทรงจูนคลื่นไปยังสถานีวิทยุที่แจ้งข่าวสารการเดินเรือได้เพราะต้องใช้พระหัตถ์ทั้งสองข้างในการบังคับเรือให้ใบเรือกินลมให้ได้มากที่สุดและวิ่งได้แรงที่สุดทั้งยังต้องคอยบังคับหางเสือให้สัมพันธ์กับแรงลมอีกด้วยจึงต้องทรงทนฟังเสียงลิเกวิทยุอย่างที่ทรงมีพระราชดำรัสนั้นจริงๆ
ที่มา : หนังสือ พระราชอารมณ์ขัน โดย วิลาส มณีวัต
สนใจสั่งซื้อที่ Line ID : @gppbook หรือ ทาง FB : Gppbook