หมอชน รปภ.ปัดเมาแล้วขับ ไม่ยอมเป่าทดสอบแอลกอฮอล์ ยินดีชดใช้เต็มที่ ด้านทนายชี้ เข้าข่ายสันนิษฐานว่าเมา

จากกรณีในโลกโซเชียลได้มีการแชร์คลิปรถยนต์สีขาวพุ่งชน นายสมชาย ยามดี รปภ. ซ้ำยังลากร่างไปไกลอีกหลายเมตร โดยส่งผลให้นายสมชายได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งขณะนี้ได้พักรักษาตัวอยู่ที่ห้องไอซียู โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าภายหลังต่อมาทราบว่าผู้ที่ขับรถยนต์สีขาวคือ นพ.ยอร์น จิระนคร  สาธารณสุขนิเทศก์เขต 12 

โดย นพ.ยอร์นได้แถลงข่าวเมื่อเวลา 17.10 น.ที่ผ่านมาว่า ตนยอมรับในสิ่งที่กระทำ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวตนไม่ได้อยากให้เกิดขึ้น ซึ่งตนได้ให้ข้อมูลที่เกิดขึ้นกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ส่วนเรื่องการช่วยเหลือตนจะรับผิดชอบเต็มที่ ส่วนจะเป็นเรื่องไหนอย่างไรจะหารือรายละเอียดกับทางญาติคุณสมชายอีกครั้ง และขออภัยกับทางครอบครัวนายสมชายด้วย

ด้าน พ.ต.อ.ปัณณพัฒน์ เดชโชติพิสิฐ ผกก.สภ.เมืองนนทบุรี กล่าวว่า หลังเกิดเหตุนพ.ยอร์น ได้เดินทางมาที่สภ.เมืองนนทบุรี ไม่ได้หลบหนีหลังเกิดเหตุ แต่เมื่อตำรวจจะให้เป่าวัดระดับแอลกอฮอล์ นพ.ยอร์นได้ปฏิเสธที่จะเป่า ซึ่งตามหลักกฎหมายเมื่อปฏิเสธจะเป่าวัดระดับแอลกอฮอล์ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนได้ว่าบุคคลนั้นดื่มแอลกอฮอล์มา แม้จะไม่เป่าเครื่องวัดแอลกอฮอล์ก็ตาม

อย่างไรก็ตามทางด้าน ทนายรัชพล ศิริสาคร เจ้าของเพจ สายตรงกฎหมาย ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับหลักกฎหมายเกี่ยวกับการขับรถแล้วไม่ยอมทดสอบแอลกอฮอล์ หรือไม่ยอมเป่า จะมีผลอย่างไรบ้าง ผ่านทางเฟซบุ๊กระบุว่า ตาม พรบ ตราจรทางบก 2522 มาตรา 142 มีหลักว่า ถ้าไม่เป่า ให้สันนิษฐานว่าเมาแล้วขับ ซึ่งคนที่ไม่เป่า สามารถไปแก้ตัวได้ว่า เพราะอะไรถึงไม่เป่า ถ้าแก้ตัวแล้ว ฟังได้ว่า มีเหตุผลอันสมควร ก็รอดตัวไป แต่ถ้าไม่มีข้อแก้ตัว หรือแก้ตัวแล้วแต่ไร้เหตุผล หรือเหตุผลฟังไม่ขึ้น ไม่มีน้ำหนัก ก็ต้องเข้าข่ายข้อสันนิษฐานว่า ขับรถขณะมึนเมา ต้องรับโทษตามกฎหมาย สิ่งที่เรามักเข้าใจผิดกันคือ กฎหมายใช้คำว่าสันนิษฐานนะครับ ไม่ได้ใช้คำว่า "ถือว่าเมา" สันนิษฐานหมายความว่า ยังไปแก้ตัวได้ ถ้ามีเหตุผลก็รอด แต่ถ้าใช้คำว่า ไม่เป่าถือว่าเมา มันจะแปลว่า ถ้าไม่เป่ามีความผิดทันที จะไปแก้ตัวอะไรไม่ได้อีก ดังนั้น คำนี้สำคัญมาก ต้องใช้ให้ถูกต้องด้วย