- 25 มี.ค. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
การชุมนุมของกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตยเริ่มต้นบริเวณสนามบอลมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ เมื่อวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา โดยได้ใช้ชื่อกิจกรรมในการชุมนุมครั้งนี้ว่ารวมพลังกันอีกครั้งเดินหน้าถอนรากคสช.
ถือได้ว่าเป็นสถานการณ์ทางการเมืองที่แม้จะมีคนมาร่วมจำนวนเพียงหลักร้อยแต่ถือเป็นการรุกทางการเมืองของเครือข่ายระบอบทักษิณครั้งสำคัญ การรุกที่ว่าไม่ได้อยู่ที่ชื่อหัวข้อของกิจกรรมที่บอกว่ารวมพลังกันอีกครั้งเดินน่าถอนรากคสช. หรือข้อเรียกร้องสามข้อของเหล่าบรรดาแกนนำที่เรียกร้องให้
1จัดการเลือกตั้ง ภายในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องเดิมๆ และทางพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. ก็ได้ออกมายืนยันไปแล้วว่าอย่างไรการเลือกตั้งก็จะเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2562
2 ยุบคสช. และเปลี่ยนบทบาทเป็นรัฐบาลรักษาการ เอื้ออำนวยความสะดวกในการเลือกตั้ง เท่านั้นในข้อนี้ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เพราะบทบาทของคสช. ได้ถูกกำหนดเอาไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันอยู่แล้ว
3 กองทัพยุตติบทบาทในการสนับสนุนคสช. ซึ่งเรื่องนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่เพราะกองทัพและคสช. นั้นคืออันหนึ่งอันเดียวกัน
ประเด็นที่บอกว่าการเมืองร้อนระอุก็คือยุทธวิธีการเคลื่อนกำลังของกลุ่มผู้ชุมนุม เพื่อทำการกดดันคสช. และรัฐบาลพลเอกประยุทธ์โดยการขยับเพื่อนกำลังมาตามลำดับ
16.00 น. 24 มี.ค.61 ที่บริเวณสนามฟุตบอล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ได้เริ่มมีการชุมนุมรวมตัวของ “กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย Democracy Restoration Group – DRG” โดยก่อนหน้านี้เครือข่ายโครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือไอลอว์(iLaw) ได้มาตั้งโต๊ะรับเข้าชื่อใช้สิทธิในการเสนอกฎหมาย “ปลดอาวุธ คสช.” ด้วย โดยอ้างว่าเพื่อช่วยกันใช้สิทธิในการเสนอกฎหมาย เพื่อทวงคืนสิทธิเสรีภาพจากอำนาจเผด็จการ
จากนั้น กลุ่มผู้ชุมนุมได้เดินเท้าเคลื่อนขบวนไปยังกองบัญชาการกองทัพบก(บก.ทบ.) ในเวลาประมาณ 17.30 น. เพื่อปักหลักชุมนุมเรียกร้องให้เหล่ากองทัพ หยุดสนับสนุน คสช. กลับเข้ากรมกอง แล้วยืนเคียงข้างประชาชน
18.20 น. ที่แยกคอกวัว ซึ่งตำรวจตั้งแนวบังคับให้ผู้ชุมนุมใช้ทางเท้าทำกิจกรรม มีเหตุผลักดันกันวุ่นวายและมีการกระทบกระทั่งกันเล็กน้อย จนเกือบกลายเป็นการปะทะ แต่สุดท้ายเจ้าหน้าที่ก็ยอมให้กลุ่มคนอยากเลือกตั้งผ่านไปได้ โดยใช้พื้นผิวจราจร 1 เลนซ้ายสุด ขณะที่ตำรวจตรึงกำลังล้อมอนุสารีย์ประชาธิปไตย ส่วนที่แยก จปร. ตำรวจตั้งด่านสกัดอีกเซ็ต โดยมีแผงเหล็กเป็นแนวกั้น
18.42 น. เจ้าหน้าที่ได้ปิดการจราจรถนนราชดำเนินนอก ขาไปลานพระบรมรูปทรงม้า โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งว่าอนุญาต ให้ผู้ชุมนุมทำกิจกรรม ที่หน้าสนามมวยนางเลิ้ง ตรงข้ามกองทัพบก ส่วนที่แยก จปร. แม้ตำรวจจะตั้งแผงและใช้เจ้าหน้าที่เป็นกำแพง แต่ผู้ชุมนุมใช้จังหวะที่มีคนมากกว่า ดันแผงเหล็กจนสามารถเปิดทางให้ผู้ทำกิจกรรมและแกนนำ เข้ามายังพื้นที่หน้ากองทัพบก โดยมีนายเอกชัย หงส์กังวาน เป็นแกนนำผู้ชุมนุมวิ่งมาที่หน้ากองทัพ
18.45 น. กลุ่มผู้ชุมนุมเดินเท้าถึงหน้ากองทัพบก และตั้งเวทีปราศรัยซึ่งใช้รถกระบะเคลื่อนที่บรรทุกเครื่องขยายเสียง เรียกร้องให้กองทัพยุติการสนับสนุน คสช. ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งกำลังเต็มด้านหน้ากองทัพบกเพื่อจำกัดพื้นที่ชุมนุมและดูแลความเรียบร้อยพื้นที่ ทั้งนี้ เมื่อมาถึงหน้า บก.ทบ. แกนนำได้ประกาศให้มวลชนเดินตามทีละก้าว เพื่อให้ถึงจุดที่กลุ่มตั้งไว้ และขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดทาง
20.00น. กลุ่มผู้ชุมนุมดังกล่าว ยังคงปักหลักก่อก่วนอยู่หน้ายริเวณ บก.ทบ. โดยกลุ่มแกนนำได้ทยอยขึ้นปราศรัย ในระหว่างที่นางศรีไพร นนทรีย์ แกนนำแรงงานย่านรังสิตฯ กล่าวปราศรัยอยู่นั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประกาศยืนยันว่าการจัดกิจกรรมผิดเงื่อนไข ขอให้ยุติการชุมนุมและเดินทางกลับ โดยไม่มีการผ่อนผัน แต่ น.ส.ณัฎฐา มหัทธนา แกนนำ กลับประกาศว่าจะไม่มีใครออกไปไหน จนกว่าแกนนำอีก 2 คนจะปราศรัยจบ
20.35 น. ภายหลังจากบรรดาแกนนำชุมนุมปราศัยจนครบ ทีมงานก็ได้ประกาศให้มวลชนร่วมกันชูสามนิ้ว และร้องเพลง รางวัลแด่ความฝัน เพื่อส่งมวลชนเดินทางกลับ จากนั้นจึงได้สลายการชุมนุม
การเคลื่อนทีของกลุ่มดังกล่าว จนสามารถมาปักหลัก หน้ากองบัญชาการกองทัพบกได้ ซึ่งถือว่าเป็นความสำเร็จของกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งทั้งที่ในการชุมนุมและการเคลื่อนขบวนในครั้งนี้ผิดเงื่อนไข ในการขออนุญาตชุมนุมตามที่กฎหมายกำหนดไว้ กลุ่มผู้ชุมนุมมีเจตนาอันชัดเจนที่จะต้องการฝ่าฝืนถ้าทายคสช. ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะกดดันให้ทางรัฐบาลและพลเอกประยุทธ์ ต้องการยกระดับการเคลื่อนไหวของตัวเองให้เป็นฝ่ายรุก. เพราะเมื่อทำสำเร็จจะทำให้มวลชนและผู้คนในเครือข่ายระบอบ ทักษิณ ฮึกเหิม และนำเอาเรื่องนี้ไปขยายผลอย่างต่อเนื่องต่อไป
ที่น่าจับตาเป็นอย่างยิ่งก็คือ หากการเคลื่อนไหวครั้งนี้สำเร็จครั้งต่อไปจะต้องมีการยกระดับที่เข้มข้น และท้าทายคสช. และรัฐบาลพลเอกประยุทธ์มากขึ้นกว่าเดิม และที่น่าเป็นห่วงก็คือการยั่วยุต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะทางฝ่ายผู้ชุมนุมเองต้องการให้เกิดภาพของการกระทบกระทั่ง และนำไปสู่เหตุความรุนแรงเพื่อเอาเงื่อนไขไปเคลื่อนไหวยกระดับเพิ่มมากขึ้นซึ่งนั่นหมายความว่าคนกลุ่มนี้ได้พยายามเอาบทเรียนในการพาคนมาตายเมื่อปี2553 ของแกนนำนปช. มาใช้อีกครั้งหนึ่ง
ได้เดินตามทฤษฎีที่ว่าถ้ามีความรุนแรงมีการบาดเจ็บล้มตายก็จะทำให้ภาครัฐในที่นี้ก็คือคสช. และพลเอกประยุทธ์ต้องตกเป็นจำเลยและสามารถสร้างเงื่อนไขการเคลื่อนไหวของตัวเองให้รุกได้มากขึ้น ขณะที่ทางฟากฝั่งของรัฐบาลเองก็ต้องพิจารณา การเคลื่อนไหวในครั้งนี้อย่างจริงจังและดำเนินคดีอย่างเฉียบขาดต่อ ผู้ที่กระทำผิดกฏหมาย เพราะแม้พลเอกประยุทธ์ได้ส่งสัญญาณห้ามปรามโดยได้กล่าวอย่างชัดเจนว่า “ ในรัชกาลนี้ต้องไม่มีเรื่องไม่ดี อย่าก่อม็อบ ในหลวงทรงทอดพระเนตรอยู่”
แต่กลุ่มคนดังกล่าวก็หาได้สนใจใยดีไม่เพราะเจตนาชัดเจน แต่แรกเริ่มอยู่แล้วนั่นคือต้องการท้าทายอำนาจของคสช. และรัฐบาลพลเอกประยุทธ์