- 01 ก.พ. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.gninternews.com
นายโดนัลด์ ทรัมป์ เห็นว่าสถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลียังตึงเครียด ถึงแม้เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ ได้เปิดการเจรจากันในช่วงหลังๆ นี้ จนนำไปสู่การตกลงส่งนักกีฬาร่วมแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวที่ฝั่งเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพแล้ว ผู้นำสหรัฐฯ นั้นไม่เห็นด้วยกับวิธีการของ 2 รัฐมนตรีสำคัญของเขาเอง
สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานข่าว เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2561 กรณีทางด้าน ทูตรัสเซีย ประจำกรุงเปียงยาง ประเทศเกาหลีเหนือ ได้ออกมาเตือนการออกมาตรการคว่ำบาตร เกาหลีเหนือ อาจจะเป็นการตีความว่า เป็นการประกาศสงคราม
ซึ่งที่ผ่านมานั้นทางด้านสหประชาชาติและสหรัฐฯ ได้ออกมาตรการบังคับใช้การคว่ำบาตรหลายระลอกโดยมีเป้าหมายยับยั้งการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ ในนั้นรวมถึงหาทางลดการเข้าถึงน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมกลั่นของเกาหลีเหนือ
อเล็กซานเดอร์ มัตเซโกรา เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำกรุงเปียงยาง ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า เราไม่สามารถลดการส่งมอบไปมากกว่านี้อีก ซึ่งสหประชาชาติกำหนดโควตายอมให้จีนส่งมอบน้ำมันดิบแก่เกาหลีเหนือ 540,000 ตันต่อปี ขณะเดียวกันยังอนุญาตให้จีน, รัสเซียและประเทศอื่นๆ ส่งมอบผลิตภัณฑ์น้ำมันแก่เกาหลีเหนือได้ปีละ 60,000 ตันมันเท่ากับน้ำหยดหนึ่งในมหาสมุทรสำหรับประเทศที่มีประชากร 25 ล้านคน การขาดแคลนน้ำมันจะนำมาซึ่งปัญหาด้านมนุษยธรรมร้ายแรง คณะผู้แทนอย่างเป็นทางการของเกาหลีเหนือแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าการปิดกั้นดังกล่าวจะถูกตีความโดยเกาหลีเหนือว่าเป็นการประกาศสงคราม ซึ่งจะต้องเผชิญผลลัพธ์ที่จะตามมา
ขณะที่ทางด้านอิกอร์ มอร์กูลอฟ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศรัสเซีย บอกว่ารัสเซียไม่มีภาระผูกพันที่ต้องดำเนินการคว่ำบาตรตามสหรัฐฯ ในขณะที่ทางด้านทูตรัสเซียประจำเปียงยางปฏิเสธข้อกล่าวหาจากสหรัฐฯ ว่า รัสเซีย ยอมให้เกาหลีเหนือใช้ท่าเรือของรัสเซียสำหรับขนส่งถ่านหิน ซึ่งฝ่าฝืนมาตรการคว่ำบาตรของสหประชาชาติ
ในขณะที่ทางด้านการแถลงนโยบายประจำปีหรือ State of the Union ต่อรัฐสภาสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2561 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ออกมาประกาศจะเดินหน้ากดดันเกาหลีเหนือ ต่อกรณีที่ยังพัฒนาขีปนาวุธ ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นกับสหรัฐฯ ในอนาคตอันใกล้มาก
นายโดนัลด์ ทรัมป์ เห็นว่าสถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลียังตึงเครียด ถึงแม้เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ ได้เปิดการเจรจากันในช่วงหลังๆ นี้ จนนำไปสู่การตกลงส่งนักกีฬาร่วมแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวที่ฝั่งเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพแล้ว ผู้นำสหรัฐฯ นั้นไม่เห็นด้วยกับวิธีการของ 2 รัฐมนตรีสำคัญของเขาเอง ได้แก่ รัฐมนตรีต่างประเทศ เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน และรัฐมนตรีกลาโหมจิม แมตทิส นั่นคือการโน้มน้าวชักจูงให้คิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ยอมหันมาเจรจาเพื่อยุติโครงการอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธ
นอกจากนั้นแล้วมีรายงานข่าวเจ้าหน้าที่อาวุโสหลายคนในรัฐบาลของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เสนอแนวคิดที่จะเปิดฉากโจมตีเกาหลีเหนือก่อน เพื่อเป็นการสั่งสอน และเป้าหมายเพื่อทำให้โครงการนิวเคลียร์เสียหาย โดยหวังว่าจะไม่ถึงกับเป็นการยั่วยุให้เกิดสงครามติดตามมา
ตัวอย่างเช่นพลอากาศเอก พอล เซลวา รองประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมของสหรัฐฯ ซึ่งกล่าวแสดงความมั่นใจ ว่าสหรัฐฯ สามารถทำลายโครงสร้างพื้นฐานด้านอาวุธนิวเคลียร์ส่วนใหญ่ของเกาหลีเหนือได้
แต่ก็มีบางส่วนที่ออกมาคัดค้าน โดยเฉพาะ วิกเตอร์ ชา ที่ปรึกษาอาวุโสของศูนย์กลางเพื่อยุทธศาสตร์และการระหว่างประเทศศึกษา เนื่องจากเห็นว่าการโจมตีและทำลายโครงสร้างพื้นฐานด้านอาวุธนิวเคลียร์ มันอาจจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามนิวเคลียร์ ชาวเกาหลีใต้หลายล้านคน รวมทั้งทหารและพลเมืองสหรัฐฯ ในเกาหลีใต้อีกหลายหมื่นคน จะตกอยู่ในความเสี่ยงทันทีหากเกาหลีเหนือตอบโต้กลับ