- 27 ก.ค. 2560
รองโฆษกฯ กล่าวว่า อนุกรรมการด้านอำนาจหน้าที่และภารกิจตำรวจ ได้เสนอการจัดองค์กรตำรวจ ให้ที่ประชุมพิจารณาและคิดต่อ 3 แนวทาง คือ
รองโฆษกฯ กล่าวว่า อนุกรรมการด้านอำนาจหน้าที่และภารกิจตำรวจ ได้เสนอการจัดองค์กรตำรวจ ให้ที่ประชุมพิจารณาและคิดต่อ 3 แนวทาง คือ
1.ให้ยกฐานะสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นกระทรวง
2. ให้คงสถานะเทียบเท่ากรม ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี เช่นเดิม และ
3.ให้เป็นกรมในสังกัดกระทรวง เช่นกระทรวงยุติธรรม โดยประเด็นนี้ที่ประชุมวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป มอบการบ้านให้อนุฯกลับไปศึกษาข้อดีข้อเสียและหาข้อมูลเพิ่มเติมโดยพิจารณารูปแบบการจัดองค์กรในต่างประเทศด้วย
วันที่ 26 กรกฎาคม 2560 เวลา 14.00 น. ห้องศรียานนท์ อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม(ตำรวจ) เป็นประธานการประชุม ครั้งที่ 5
หลังการประชุมทางด้าน นายประดิษฐ์ วรรณรัตน์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า ในฐานะรองโฆษกคณะกรรมการปฏิรูปฯ ได้ดำเนินการแถลงข่าวว่าคณะอนุกรรมการด้านบริหารบุคคล ซึ่งพล.อ.บุญสร้างเป็นประธาน ได้เสนอความคืบหน้าในการพิจารณาองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ(ก.ต.ช.) และ คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.) โดยล่าสุด คณะอนุฯมีความเห็นแม้มีเป้าหมายให้คณะกรรมการขององค์กรตำรวจปราศจากการเมือง แต่เห็นควรให้ นายกรัฐมนตรีเป็นประธานของคณะกรรมการทั้ง 2 ชุด โดยในก.ต.ช.กำหนดให้มีกรรมการ 15 คน จากเดิมในชุดปัจจุบันมี 8 คน มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รองนายกรัฐมนตรีเป็นรองประธาน กรรมการประกอบด้วยปลัดกระทรวงกลางโหม ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงยุติธรรม ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และมีผู้ทรงคุณวุฒิ โดยให้เพิ่มปลัดกระทรวงการคลัง เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ จเรตำรวจ รอง ผบ.ตร.และตัวแทนจากที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทยอีก 2 คนเข้ามา และกำหนด ให้ก.ต.ช. อำนาจหน้าที่เพียงกำหนดนโยบายเท่านั้น ตัดอำนาจการแต่งตั้ง ผบ.ตร.ออกไป ให้ ก.ตร.เลือกและตั้ง ผบ.ตร.แทน ขณะที่ องค์ประกอบของก.ตร. นั้น เดิมที่มีนายกรัฐมนตรี ผบ.ตร. จเรตำรวจแห่งชาติ รองผบ.ตร.และเลขาก.พ.เป็นกรรมการ คณะอนุฯเสนอองค์ประกอบใหม่ ให้เพิ่ม กรรมการจากผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งมาจากอดีตข้าราชการตำรวจ จากการเลือกตั้งอีก 6 คน และให้ก.ตร.มีอำนาจในการแต่งตั้งผบ.ตร. ซึ่งยอมรับว่าองค์ประกอบของก.ต.ช.และ ก.ตร.ที่อนุฯเสนอ คล้ายกับองค์ประกอบเดิมก่อนเปลี่ยนแปลงโดย คสช. ทั้งนี้ข้อเสนอนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปเป็นเพียงแนวคิดล่าสุดที่เสนอให้ที่ประชุมใหญ่นำไปคิดต่อ แต่ที่ค่อนข้างชัดเจนคือเห็นควรว่า ให้ ก.ตร.แต่งตั้งผบ.ตร. ส่วนก.ต.ช.ให้กำหนดนโยบายอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้คาดว่าจะได้ข้อสรุปใน 2-3 สัปดาห์นี้เพราะเป็นเรื่องเร่งด่วนเกี่ยวกับการวางระบบแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ
รองโฆษกฯ กล่าวว่า อนุกรรมการด้านอำนาจหน้าที่และภารกิจตำรวจ ได้เสนอการจัดองค์กรตำรวจ ให้ที่ประชุมพิจารณาและคิดต่อ 3 แนวทาง คือ
1.ให้ยกฐานะสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นกระทรวง
2. ให้คงสถานะเทียบเท่ากรม ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี เช่นเดิม และ
3.ให้เป็นกรมในสังกัดกระทรวง เช่นกระทรวงยุติธรรม โดยประเด็นนี้ที่ประชุมวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป มอบการบ้านให้อนุฯกลับไปศึกษาข้อดีข้อเสียและหาข้อมูลเพิ่มเติมโดยพิจารณารูปแบบการจัดองค์กรในต่างประเทศด้วย
นายประดิษฐ์ กล่าวด้วยว่า อนุฯด้านอำนาจหน้าที่ฯยังเสนอเรื่องการถ่ายโอนภารกิจของตำรวจ โดยกำหนดภารกิจของตำรวจ 11 ด้าน ที่ให้ไปพิจารณาว่าควรถ่ายโอนให้หน่วยงานอื่นหรือไม่ อย่างไร ดังนี้
1.ภารกิจตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งหลายประเทศไม่ขึ้นกับตำรวจ ในกรณีนี้มีการเสนอว่าอาจไปอยู่ภายใต้ กระทรวงการต่างประเทศ
2.ด้านจราจร มีการเสนอให้ไปอยู่กับท้องถิ่น
3. ตำรวจท่องเที่ยว
4.ตำรวจทางหลวง เสนอไปให้ไปอยู่กับกระทรวงคมนาคม
5.ตำรวจรถไฟ
6.ตำรวจน้ำ
7.ตำรวจป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติ
8.ภารกิจคุ้มครองผู้บริโภคด้านอาหารและยา
9.ภารกิจด้านละเมิดลิขสิทธิ์
10.ภารกิจความผิดด้านเทคโนโลยีและสารสนเทศ และ
11.ภารกิจความผิดด้านเศรษฐกิจ
"อย่างไรก็ตามแนวคิดทั้งหมด ไม่ใช้ข้อสรุปเป็นแต่เพียงการกำหนดหัวข้อให้ อนุฯและกรรมการไปพิจารณาข้อดีข้อเสียเพื่อหาข้อสรุปที่ดีที่สุดต่อไป โดยจะนัดประชุมอีกครั้งในวันที่ 2 สิงหาคม นี้ เวลา 14.00 น. "รองโฆษกฯกล่าว