ตามติด !! พิพาทเดือด !! "ที่ดิน "เกาะนาคาน้อย" ส่อพิรุธเจ้าหน้าที่รัฐทุจริตชนวนวุ่น ???

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.tnews.co.th

 

 

ประเด็นร้อนที่เกิดขึ้นในโลกโซเชียลมีเดีย และเป็นประเด็นที่ชี้ให้เห็นความจำเป็นที่รัฐบาลและคสช.จำเป็นต้องดำเนินการปราบปรามกลุ่มผู้อิทธิพลทั้งหลายให้สิ้นซาก

 

 

 


ทั้งนี้ประเด็นที่กำลังพูดถึงนี้ก็คือข้อร้องเรียนของดาราชื่อดังคนหนึ่งที่ชื่อภูริ  หิรัญพฤกษ์  ที่หลายคนรู้จักกันดี  ว่ากำลังถูกอำนาจอิทธิพลทุกรูปแบบเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิการครอบครองที่ดินบนเกาะนาคาน้อย จ.ภูเก็ต

 


โดยตามข้อมูลของจ.ภูเก็ตระบุว่า  เกาะนาคาน้อยเป็นเกาะเล็ก ๆ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะภูเก็ต  ถือเป็นเกาะที่มีชื่อเสียงด้านการเลี้ยงมุก  แต่เนื่องจากเป็นเกาะส่วนตัว   ไม่มีธุรกิจที่พักในเชิงพาณิชย์   นักท่องเที่ยวจึงสามารถทำได้เพียงซื้อทัวร์  ไปชมฟาร์มมุก   ดูการสาธิตวิธีเลี้ยงมุก  และซื้อมุกที่มีการวางจำหน่าย  โดยมีร้านอาหารทะเลไว้บริการ มีชายหาด สำหรับพักผ่อนว่ายน้ำได้เท่านั้น  

 


สืบค้นต่อไปพบว่าเกาะนาคาน้อยแห่งนี้ถือเป็นทรัพย์สมบัติของตระกูลหิรัญพฤกษ์ของนักแสดงหนุ่ม  ซึ่งภูริบอกว่า   เกาะนาคาน้อย เป็นเกาะของคุณปู่ที่ซื้อไว้เมื่อ  50 ปีที่แล้วจนปัจจุบันกลายเป็นมรดกตกทอดมาถึงภูริเมื่อไม่นานมานี้   และตัวเขาเองก็เข้าไปปรับปรุงพื้นที่เดิมซึ่งเป็นป่าอุดมสมบูรณ์  ให้มีพื้นที่เล็กๆ สร้างเป็นบ้านพักตากอากาศสำหรับครอบครัว   โดยไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมธรรมชาติใด ๆ ทั้งสิ้น  ทำให้ปัจจุบันยังคงได้เห็นนกเงือกจำนวนมากบนเกาะแห่งนี้

 


ดูเหมือนว่าเรื่องราวก็น่าจะดำเนินไปด้วยดีสำหรับวิถีการอนุรักษ์ที่เกิดขึ้นบนเกาะนาคาน้อย  ถ้าไม่เกิดเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นในช่วงปลายปี  2558  ที่ผ่านมา

 


โดยกรณีที่เกิดขึ้นเริ่มจากการที่นายภูริ หิรัญพฤกษ์    ได้เข้าร้องทุกข์ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษให้ทำการตรวจสอบพื้นที่ที่บางส่วนของเกาะนาคาน้อย   โดยเชื่อว่ามีการดำเนินการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ   เพราะทางครอบครัวหิรัญพฤกษ์ได้ซื้อที่ดินบนเกาะนาคาน้อยขนาด 60 ไร่และทำประโยชน์เกี่ยวกับไข่มุกมานานเป็นเวลาร่วม 50 ปี  และตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ไม่พบว่ามีผู้อื่นมาครอบครองพื้นที่บนเกาะดังกล่าวเลยมาก่อน

 


จนช่วงปี  2554  ความไม่ปกติก็เกิดขึ้นเมื่อมีกลุ่มบุคคลแจ้งความประสงค์จะขายที่ดินบนเกาะนาคาน้อยให้กับครอบครัวหิรัญพฤกษ์จำนวน  7 ไร่  3 งาน  20  ตารางวา  โดยอ้างว่าที่ดินส่วนหนึ่งมีเอกสารสิทธิ์เป็น สค.1 ที่สามารถไปดำเนินธุรกิจเปลี่ยนเป็นโฉนดที่ดินได้ทันที  ส่งผลทำให้เรื่องราวบานปลายเป็นข้อสงสัยที่เกิดขึ้นว่าที่ดินบนเกาะนาคาน้อยที่ถูกเข้าใจว่าเป็นสิทธิ์ของตระกูลหิรัญพฤกษ์ทั้งหมด ทำไมจึงมีบางส่วนกลายเป็นที่ดินที่ถูกถือครองโดยบุคคลอื่นนอกเหนือจากตระกูลหิรัญพฤกษ์

 


 

ทั้งนี้นายภูริได้ชี้แจงถึงกรณีที่ดินที่เป็นปัญหาเรื่องสิทธิการครอบครองว่า  พื้นที่ที่ดังกล่าวเป็นบริเวณภูเขาทางตอนใต้ของเกาะ  มีสภาพเป็นป่าและมีความสมบูรณ์ของทรัพยากรมาก รวมทั้งยังเป็นที่อยู่อาศัยของนกเงือกแหล่งสำคัญของ จ.ภูเก็ต  และจากการตรวจสอบเรื่องเอกสารสิทธิที่ดินขนาด 7 ไร่ที่มีการกล่าวอ้างยังพบด้วยว่าแท้จริงแล้วเป็นเอกสารสิทธิ์ที่มีการนำมาเสนอขายนั้น  เป็นที่ดินบนเกาะนาคาใหญ่   ห่างจากเกาะนาคาน้อยไปประมาณ 1 กิโลเมตร  แต่มีการแก้ไขข้อมูลเอกสารให้กลายเป็นที่ดินบนเกาะนาคาน้อย   รวมถึงแก้ไขภูมิประเทศที่ดินให้กลายเป็นที่ดินติดทะเล 2 ด้านและพื้นที่ป่า  1 ด้าน   และยังมีการเพิ่มเติมสัดส่วนการครอบครองพื้นที่จาก 7 ไร่  3 งาน 20 ตารางวา  กลายเป็น  17  ไร่ 3 งาน 20 ตารางวาอีกด้วย

 


หลังจากนั้นกับประเด็นปัญหาพิพาทนี้ก็มีความคืบหน้ามาเป็นลำดับ โดยเฉพาะการลงพี้นที่ตรวจสอบเกาะนาคาน้อยของกรมสอบสวนคดีพิเศษ

 


โดยข้อมูลของ  พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิล   ผบ.สำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม  ระบุว่าจากการรวบรวมพยานหลักฐานเบื้องต้นของคณะทำงานตั้งข้อสังเกตุถึงที่ดินจำนวนกว่า  17 ไร่ที่มีผู้อ้างกรรมสิทธิ์นอกเหนือจากตระกูลหิรัญพฤกษ์   อาจเป็นการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ    เพราะเบื้องต้นจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่า สค.1 ที่นำมาออกน่าจะมาจากพื้นที่เกาะนาคาใหญ่  เนื้อที่เดิมระบุ 7 ไร่ 3 งาน 20 ตารางวา แต่มีการแก้ไขเนื้อที่ เป็น 17 ไร่ 3 งาน 20 ตารางวา    

 


ขณะที่ผลการตรวจสอบภาพถ่ายทางอากาศปี 2510 ถึงปัจจุบัน  ไม่พบร่องรอยการทำประโยชน์เต็มพื้นที่ตามเอกสารไต่สวนขอออกเอกสารสิทธิ์  โดยพบว่ามีการทำประโยชน์  เป็นสวนยางพารา  สวนมะพร้าวและสวนไม้ผลอื่นๆ  ภายในพื้นที่เท่านั้น     อีกทั้งพบว่าน่าจะไม่มีการเข้าไปรังวัดจริง  เพราะเมื่อสอบถามประชาชนในพื้นที่ข้างเคียงก็ไม่มีใครทราบมาก่อนถึงการครอบครองที่ดินของเอกชนรายใหม่  ซึ่งทุกคนยืนยันว่าหากทราบจะคัดค้านทันที  เพราะเป็นการออกเอกสารสิทธิ์ทับภูเขาและที่สาธารณะประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน    ที่สำคัญประชาชนไม่เคยเห็นมีเจ้าหน้าที่ที่ดินเข้ามารังวาพื้นที่แม้แต่คนเดียว 

 


และที่สำคัญพบด้วยว่าภายหลังการออก นส.3  เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2557   ในวันนั้นก็มีการนำขายให้บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในวันนั้นในราคา 42  ล้านบาททันที  โดยเจ้าหน้าที่ที่ดินได้ลงนามอนุมัติการซื้อขายเมื่อวันที่  31 ก.ค. 2557     ทำให้มีมูลเชื่อได้ว่าพื้นที่ดังกล่าวมีการออก น.ส.3 ก โดยมิชอบทับพื้นที่ป่าและที่ดินของรัฐ  อันเป็นความผิดต่อเจ้าพนักงานตามมาตรา 157 แห่งประมวลกำหมายอาญา และเอกชนที่ครอบครองที่ดินมีความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 และประมวลกฎหมายที่ดิน  ซึ่งเจ้าหน้าที่จะเสนอให้มีการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินแปลงนี้ทันที

 


แต่ถึงแม้จะมีการร้องเรียนและเข้าตรวจสอบโดยกรมสอบสวนคดีพิเศษแล้วก็ตาม ใช่ว่าปัญหาทุกอย่างจะจบสิ้น   เพราะแม้เวลาจะผ่านมานานพอสมควรแต่การดำเนินการในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐยังคงไม่คืบหน้า   และทำให้กรณีพิพาทระหว่างนักแสดงชื่อดังกับกลุ่มนายทุนบานปลายกลายเป็นการกระทบกระทั่งมากขึ้น

 


โดยเฉพาะล่าสุดกับเหตุการณ์วันนี้  (  6 เม.ย.)  เมื่อนายภูริ  โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว "Puri Hiranprueck" ระบุว่ากับกรณีพิพาทบนเกาะนาคาน้อยล่าสุด    ถึงขั้นมีการคุกคามโดยกลุ่มชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธครบมือบุกเข้ามาในพื้นที่    พร้อมเตรียมดำเนินการเข้าถางป่าที่อ้างว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของตนแล้ว 

 


เฟสบุ๊คส์ของนายภูริ   เขียนด้วยว่า   ก็เห็นชัดๆ ว่าเอกสารสิทธิ์   ได้มาโดยมิชอบ เจ้าหน้าที่ที่ดินคนเซ็นออก  ก็ยอมรับแล้วว่ามีที่มาผิดจริงๆ โดนลูกน้องหลอก  เรื่องนี้ทางกรมที่ดินตั้งคณะกรรมการเตรียมถอดถอนแล้ว   DSI  กำลังจะเอาเข้าเป็นคดีพิเศษ  เอาผิดทั้งขบวนการ   แต่วันนี้กลุ่มคนที่ได้รับจ้างมาจากเจ้าของโฉนดเถื่อนพกอาวุธเต็มมือ เตรียมเข้าถางที่ป่า ที่ไม่เคยครอบครอง และอาจจะมาถางที่ของครอบครัวผมด้วย

 


ที่สำคัญเจ้าหน้าที่ที่ดินไม่เคยขึ้นมารังวัดจะมีหมุดได้อย่างไร  ผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์   ที่อยู่ของนกเงือกกำลังจะถูกทำลาย  เราส่งคนเข้าไปห้ามชักปืนใส่   เราสู้ไม่ได้จริงๆ ผมขอวอนให้ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต   และผู้ที่มีอำนาจเกี่ยวข้องช่วยมาระงับการทำลายป่าครั้งนี้ด้วยเถิด   เอกสารที่ดินเถื่อนอันนี้กรมที่ดินกำลังจะถอดถอน แต่ถ้าคนพวกนี้เข้ามาทำลายป่าเสียก่อนจะแก้ไม่ทัน   ผมวอนช่วยกันแชร์ให้หน่วยงานรัฐเข้ามาดูแลทีเถอะ อย่ากลัวอำนาจมือ ผืนป่าของประเทศจะหมดเพราะการกระทำแบบนี้   ซึ่งต่อมาได่มีผู้เข้าไปแสดงความเห็นในเชิงให้กำลังต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมเป็นจำนวนมาก

 


ต่อมาเมื่อมีการสอบถามความคืบหน้าการดำเนินการเรื่องนี้ไปยัง พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิล ผู้บัญชาการสำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้รับการชี้แจงว่า   เบื้องต้นได้หารือกับ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ แล้วและมีความเห็นร่วมกันในการเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม   ออกคำสั่งตามมาตรา 44  คุ้มครองพื้นที่ไม่ให้มีการเข้าไปตัดต้นไม้ในพื้นที่ดังกล่าว โดยคาดว่าภายใน 1-2 วันนี้ น่าจะได้ความชัดเจน

 


ทั้งนี้ยอมรับว่ากรณีดังกล่าวดีเอสไอยังไม่ได้เสนอให้มีการเพิกถอนต่อกรมที่ดิน เพราะอยู่ระหว่างรอการเสนอเข้าพิจารณาเป็นคดีพิเศษกับคณะกรรมการคดีพิเศษ(กคพ.) ทำให้มีการอ้างกรรมสิทธิ์ถือครองเข้าไปดำเนินการในพื้นที่ได้    อย่างไรก็ตามทราบว่าทางจังหวัดก็ยื่นขอเพิกถอนเอกสารสิทธิ์   แต่การเพิกถอนมีกระบวนการหลายขั้นตอนทำให้ล่าช้า   ทั้งนี้ในส่วนการแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากรณีที่พบว่ามีกลุ่มบุคคลพกอาวุธเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าว   เห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ต้องรับผิดชอบเข้าไปดำเนินการตามกฎหมายโดยทันที

 


สำหรับกรณีพิพาทเรื่องเอกสารสิทธิ์ที่ดินบนเกาะนาคาน้อย  ถ้าย้อนสืบกลับไปพบว่าคู่พิพาทกับนักแสดงชื่อดังอย่างภูริ หิรัญพฤกษ์  ได้เคยออกมาอ้างต่อสาธารณะว่าที่ดินดังกล่าวได้มาโดยชอบธรรมและมีการฟ้องร้องกลับต่อนายภูริที่ทำให้ชื่อเสียงเสียหายอีกด้วย

 


โดยเป็นทางด้าน  นายชาญวิทย์ กิจเลิศสิริวัฒนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ภูเขาหกลูก จำกัด   ที่เดินทางเข้าร้องขอความเป็นธรรมจากกรณีมีผู้ร้องเรียนให้เพิกถอนสิทธิการครอบครองที่ดินของตนเอง   รวมทั้งขอให้ช่วยกวาดล้างผู้มีอิทธิพลที่พกพาปืนและยิงขู่ประชาชนในบริเวณเกาะนาคาน้อย    โดยมี พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ  ผู้อำนวยการศูนย์บริหารคดีพิเศษ ในฐานะรองโฆษก ดีเอสไอ    เป็นผู้รับเรื่องไว้

 


นอกจากนี้  นายชาญวิทย์ ยังเรียกร้องขอให้ดีเอสไอตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 2565 ,2566 และ 1462 ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต และการขอ น.ส.3 ก.   รวมทั้งหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถือครองที่ดินและ น.ส.3 ก.เลขที่ 3977 ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต   โดยอ้างว่าตนเองได้ซื้อที่ดินดังกล่าวมาจากบริษัท ภูเขาหกลูก จำกัด   และได้จดทะเบียนซื้อที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส.3 ก เลขที่ 3977 เลขที่ดิน 4 ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต  พร้อมไโอนสิทธิครอบครองที่ดินมาจากนายเกษม ห่อทิพย์  ลูกชายของนายหรน  ห่อทิพย์  ผู้เป็นบิดาซึ่งผู้ครอบครองที่ดินสค.1   เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2557

 


ขณะเดียวกันนายชาญวิทย์  ยังตนตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาของคณะกรรมการที่จังหวัดภูเก็ตตั้งขึ้นมาเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าอาจไม่โปร่งใส  โดยอ้างว่าการเพิกถอนสิทธิ์อาจเนื่องมาจากอีกฝ่ายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป  ดังนั้นเพื่อความเป็นธรรม ขอให้มีการแปลภาพถ่ายทางอากาศและตรวจสอบตามข้อเท็จจริง โดยขอให้ชาวบ้านที่ยังถือสิทธิ์ครอบครองที่ดินเข้าเป็นพยานด้วย

 


นอกจากนี้นายชาญวิทย์ ได้นำเอกสารน.ส.3 ก.  มายืนยันความเป็นเจ้าของ โดยระบุว่าเป็นการซื้อที่ดินทั้ง 3 แปลง โดยแปลงหนึ่งเป็นการซื้อมาจากนายเกษม ห่อทิพย์ เมื่อปี 2557  เป็นเนื้อที่รวม 24 ไร่ ในราคา 42 ล้านบาท ซึ่งในการยื่นหนังสือต่อดีเอสไอได้มาพร้อมนายเกษม และนางเจ๊ะหยา ตนคลัง ทายาทเจ้าของที่ดินเดิมจำนวนกว่า 50 ไร่อีกหนึ่งแปลงเพื่อมาเป็นพยานยืนยันข้อมูลด้วย