- 06 เม.ย. 2559
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.tnews.co.th
ประเด็นร้อนที่เกิดขึ้นในโลกโซเชียลมีเดีย และเป็นประเด็นที่ชี้ให้เห็นความจำเป็นที่รัฐบาลและคสช.จำเป็นต้องดำเนินการปราบปรามกลุ่มผู้อิทธิพลทั้งหลายให้สิ้นซาก
ทั้งนี้ประเด็นที่กำลังพูดถึงนี้ก็คือข้อร้องเรียนของดาราชื่อดังคนหนึ่งที่ชื่อภูริ หิรัญพฤกษ์ ที่หลายคนรู้จักกันดี ว่ากำลังถูกอำนาจอิทธิพลทุกรูปแบบเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิการครอบครองที่ดินบนเกาะนาคาน้อย จ.ภูเก็ต
โดยตามข้อมูลของจ.ภูเก็ตระบุว่า เกาะนาคาน้อยเป็นเกาะเล็ก ๆ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะภูเก็ต ถือเป็นเกาะที่มีชื่อเสียงด้านการเลี้ยงมุก แต่เนื่องจากเป็นเกาะส่วนตัว ไม่มีธุรกิจที่พักในเชิงพาณิชย์ นักท่องเที่ยวจึงสามารถทำได้เพียงซื้อทัวร์ ไปชมฟาร์มมุก ดูการสาธิตวิธีเลี้ยงมุก และซื้อมุกที่มีการวางจำหน่าย โดยมีร้านอาหารทะเลไว้บริการ มีชายหาด สำหรับพักผ่อนว่ายน้ำได้เท่านั้น
สืบค้นต่อไปพบว่าเกาะนาคาน้อยแห่งนี้ถือเป็นทรัพย์สมบัติของตระกูลหิรัญพฤกษ์ของนักแสดงหนุ่ม ซึ่งภูริบอกว่า เกาะนาคาน้อย เป็นเกาะของคุณปู่ที่ซื้อไว้เมื่อ 50 ปีที่แล้วจนปัจจุบันกลายเป็นมรดกตกทอดมาถึงภูริเมื่อไม่นานมานี้ และตัวเขาเองก็เข้าไปปรับปรุงพื้นที่เดิมซึ่งเป็นป่าอุดมสมบูรณ์ ให้มีพื้นที่เล็กๆ สร้างเป็นบ้านพักตากอากาศสำหรับครอบครัว โดยไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมธรรมชาติใด ๆ ทั้งสิ้น ทำให้ปัจจุบันยังคงได้เห็นนกเงือกจำนวนมากบนเกาะแห่งนี้
ดูเหมือนว่าเรื่องราวก็น่าจะดำเนินไปด้วยดีสำหรับวิถีการอนุรักษ์ที่เกิดขึ้นบนเกาะนาคาน้อย ถ้าไม่เกิดเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2558 ที่ผ่านมา
โดยกรณีที่เกิดขึ้นเริ่มจากการที่นายภูริ หิรัญพฤกษ์ ได้เข้าร้องทุกข์ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษให้ทำการตรวจสอบพื้นที่ที่บางส่วนของเกาะนาคาน้อย โดยเชื่อว่ามีการดำเนินการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ เพราะทางครอบครัวหิรัญพฤกษ์ได้ซื้อที่ดินบนเกาะนาคาน้อยขนาด 60 ไร่และทำประโยชน์เกี่ยวกับไข่มุกมานานเป็นเวลาร่วม 50 ปี และตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ไม่พบว่ามีผู้อื่นมาครอบครองพื้นที่บนเกาะดังกล่าวเลยมาก่อน
จนช่วงปี 2554 ความไม่ปกติก็เกิดขึ้นเมื่อมีกลุ่มบุคคลแจ้งความประสงค์จะขายที่ดินบนเกาะนาคาน้อยให้กับครอบครัวหิรัญพฤกษ์จำนวน 7 ไร่ 3 งาน 20 ตารางวา โดยอ้างว่าที่ดินส่วนหนึ่งมีเอกสารสิทธิ์เป็น สค.1 ที่สามารถไปดำเนินธุรกิจเปลี่ยนเป็นโฉนดที่ดินได้ทันที ส่งผลทำให้เรื่องราวบานปลายเป็นข้อสงสัยที่เกิดขึ้นว่าที่ดินบนเกาะนาคาน้อยที่ถูกเข้าใจว่าเป็นสิทธิ์ของตระกูลหิรัญพฤกษ์ทั้งหมด ทำไมจึงมีบางส่วนกลายเป็นที่ดินที่ถูกถือครองโดยบุคคลอื่นนอกเหนือจากตระกูลหิรัญพฤกษ์
ทั้งนี้นายภูริได้ชี้แจงถึงกรณีที่ดินที่เป็นปัญหาเรื่องสิทธิการครอบครองว่า พื้นที่ที่ดังกล่าวเป็นบริเวณภูเขาทางตอนใต้ของเกาะ มีสภาพเป็นป่าและมีความสมบูรณ์ของทรัพยากรมาก รวมทั้งยังเป็นที่อยู่อาศัยของนกเงือกแหล่งสำคัญของ จ.ภูเก็ต และจากการตรวจสอบเรื่องเอกสารสิทธิที่ดินขนาด 7 ไร่ที่มีการกล่าวอ้างยังพบด้วยว่าแท้จริงแล้วเป็นเอกสารสิทธิ์ที่มีการนำมาเสนอขายนั้น เป็นที่ดินบนเกาะนาคาใหญ่ ห่างจากเกาะนาคาน้อยไปประมาณ 1 กิโลเมตร แต่มีการแก้ไขข้อมูลเอกสารให้กลายเป็นที่ดินบนเกาะนาคาน้อย รวมถึงแก้ไขภูมิประเทศที่ดินให้กลายเป็นที่ดินติดทะเล 2 ด้านและพื้นที่ป่า 1 ด้าน และยังมีการเพิ่มเติมสัดส่วนการครอบครองพื้นที่จาก 7 ไร่ 3 งาน 20 ตารางวา กลายเป็น 17 ไร่ 3 งาน 20 ตารางวาอีกด้วย
หลังจากนั้นกับประเด็นปัญหาพิพาทนี้ก็มีความคืบหน้ามาเป็นลำดับ โดยเฉพาะการลงพี้นที่ตรวจสอบเกาะนาคาน้อยของกรมสอบสวนคดีพิเศษ
โดยข้อมูลของ พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิล ผบ.สำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ระบุว่าจากการรวบรวมพยานหลักฐานเบื้องต้นของคณะทำงานตั้งข้อสังเกตุถึงที่ดินจำนวนกว่า 17 ไร่ที่มีผู้อ้างกรรมสิทธิ์นอกเหนือจากตระกูลหิรัญพฤกษ์ อาจเป็นการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ เพราะเบื้องต้นจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่า สค.1 ที่นำมาออกน่าจะมาจากพื้นที่เกาะนาคาใหญ่ เนื้อที่เดิมระบุ 7 ไร่ 3 งาน 20 ตารางวา แต่มีการแก้ไขเนื้อที่ เป็น 17 ไร่ 3 งาน 20 ตารางวา
ขณะที่ผลการตรวจสอบภาพถ่ายทางอากาศปี 2510 ถึงปัจจุบัน ไม่พบร่องรอยการทำประโยชน์เต็มพื้นที่ตามเอกสารไต่สวนขอออกเอกสารสิทธิ์ โดยพบว่ามีการทำประโยชน์ เป็นสวนยางพารา สวนมะพร้าวและสวนไม้ผลอื่นๆ ภายในพื้นที่เท่านั้น อีกทั้งพบว่าน่าจะไม่มีการเข้าไปรังวัดจริง เพราะเมื่อสอบถามประชาชนในพื้นที่ข้างเคียงก็ไม่มีใครทราบมาก่อนถึงการครอบครองที่ดินของเอกชนรายใหม่ ซึ่งทุกคนยืนยันว่าหากทราบจะคัดค้านทันที เพราะเป็นการออกเอกสารสิทธิ์ทับภูเขาและที่สาธารณะประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ที่สำคัญประชาชนไม่เคยเห็นมีเจ้าหน้าที่ที่ดินเข้ามารังวาพื้นที่แม้แต่คนเดียว
และที่สำคัญพบด้วยว่าภายหลังการออก นส.3 เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2557 ในวันนั้นก็มีการนำขายให้บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในวันนั้นในราคา 42 ล้านบาททันที โดยเจ้าหน้าที่ที่ดินได้ลงนามอนุมัติการซื้อขายเมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2557 ทำให้มีมูลเชื่อได้ว่าพื้นที่ดังกล่าวมีการออก น.ส.3 ก โดยมิชอบทับพื้นที่ป่าและที่ดินของรัฐ อันเป็นความผิดต่อเจ้าพนักงานตามมาตรา 157 แห่งประมวลกำหมายอาญา และเอกชนที่ครอบครองที่ดินมีความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 และประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งเจ้าหน้าที่จะเสนอให้มีการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินแปลงนี้ทันที
แต่ถึงแม้จะมีการร้องเรียนและเข้าตรวจสอบโดยกรมสอบสวนคดีพิเศษแล้วก็ตาม ใช่ว่าปัญหาทุกอย่างจะจบสิ้น เพราะแม้เวลาจะผ่านมานานพอสมควรแต่การดำเนินการในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐยังคงไม่คืบหน้า และทำให้กรณีพิพาทระหว่างนักแสดงชื่อดังกับกลุ่มนายทุนบานปลายกลายเป็นการกระทบกระทั่งมากขึ้น
โดยเฉพาะล่าสุดกับเหตุการณ์วันนี้ ( 6 เม.ย.) เมื่อนายภูริ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว "Puri Hiranprueck" ระบุว่ากับกรณีพิพาทบนเกาะนาคาน้อยล่าสุด ถึงขั้นมีการคุกคามโดยกลุ่มชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธครบมือบุกเข้ามาในพื้นที่ พร้อมเตรียมดำเนินการเข้าถางป่าที่อ้างว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของตนแล้ว
เฟสบุ๊คส์ของนายภูริ เขียนด้วยว่า ก็เห็นชัดๆ ว่าเอกสารสิทธิ์ ได้มาโดยมิชอบ เจ้าหน้าที่ที่ดินคนเซ็นออก ก็ยอมรับแล้วว่ามีที่มาผิดจริงๆ โดนลูกน้องหลอก เรื่องนี้ทางกรมที่ดินตั้งคณะกรรมการเตรียมถอดถอนแล้ว DSI กำลังจะเอาเข้าเป็นคดีพิเศษ เอาผิดทั้งขบวนการ แต่วันนี้กลุ่มคนที่ได้รับจ้างมาจากเจ้าของโฉนดเถื่อนพกอาวุธเต็มมือ เตรียมเข้าถางที่ป่า ที่ไม่เคยครอบครอง และอาจจะมาถางที่ของครอบครัวผมด้วย
ที่สำคัญเจ้าหน้าที่ที่ดินไม่เคยขึ้นมารังวัดจะมีหมุดได้อย่างไร ผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ ที่อยู่ของนกเงือกกำลังจะถูกทำลาย เราส่งคนเข้าไปห้ามชักปืนใส่ เราสู้ไม่ได้จริงๆ ผมขอวอนให้ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต และผู้ที่มีอำนาจเกี่ยวข้องช่วยมาระงับการทำลายป่าครั้งนี้ด้วยเถิด เอกสารที่ดินเถื่อนอันนี้กรมที่ดินกำลังจะถอดถอน แต่ถ้าคนพวกนี้เข้ามาทำลายป่าเสียก่อนจะแก้ไม่ทัน ผมวอนช่วยกันแชร์ให้หน่วยงานรัฐเข้ามาดูแลทีเถอะ อย่ากลัวอำนาจมือ ผืนป่าของประเทศจะหมดเพราะการกระทำแบบนี้ ซึ่งต่อมาได่มีผู้เข้าไปแสดงความเห็นในเชิงให้กำลังต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมเป็นจำนวนมาก
ต่อมาเมื่อมีการสอบถามความคืบหน้าการดำเนินการเรื่องนี้ไปยัง พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิล ผู้บัญชาการสำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้รับการชี้แจงว่า เบื้องต้นได้หารือกับ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ แล้วและมีความเห็นร่วมกันในการเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ออกคำสั่งตามมาตรา 44 คุ้มครองพื้นที่ไม่ให้มีการเข้าไปตัดต้นไม้ในพื้นที่ดังกล่าว โดยคาดว่าภายใน 1-2 วันนี้ น่าจะได้ความชัดเจน
ทั้งนี้ยอมรับว่ากรณีดังกล่าวดีเอสไอยังไม่ได้เสนอให้มีการเพิกถอนต่อกรมที่ดิน เพราะอยู่ระหว่างรอการเสนอเข้าพิจารณาเป็นคดีพิเศษกับคณะกรรมการคดีพิเศษ(กคพ.) ทำให้มีการอ้างกรรมสิทธิ์ถือครองเข้าไปดำเนินการในพื้นที่ได้ อย่างไรก็ตามทราบว่าทางจังหวัดก็ยื่นขอเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ แต่การเพิกถอนมีกระบวนการหลายขั้นตอนทำให้ล่าช้า ทั้งนี้ในส่วนการแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากรณีที่พบว่ามีกลุ่มบุคคลพกอาวุธเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าว เห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ต้องรับผิดชอบเข้าไปดำเนินการตามกฎหมายโดยทันที
สำหรับกรณีพิพาทเรื่องเอกสารสิทธิ์ที่ดินบนเกาะนาคาน้อย ถ้าย้อนสืบกลับไปพบว่าคู่พิพาทกับนักแสดงชื่อดังอย่างภูริ หิรัญพฤกษ์ ได้เคยออกมาอ้างต่อสาธารณะว่าที่ดินดังกล่าวได้มาโดยชอบธรรมและมีการฟ้องร้องกลับต่อนายภูริที่ทำให้ชื่อเสียงเสียหายอีกด้วย
โดยเป็นทางด้าน นายชาญวิทย์ กิจเลิศสิริวัฒนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ภูเขาหกลูก จำกัด ที่เดินทางเข้าร้องขอความเป็นธรรมจากกรณีมีผู้ร้องเรียนให้เพิกถอนสิทธิการครอบครองที่ดินของตนเอง รวมทั้งขอให้ช่วยกวาดล้างผู้มีอิทธิพลที่พกพาปืนและยิงขู่ประชาชนในบริเวณเกาะนาคาน้อย โดยมี พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารคดีพิเศษ ในฐานะรองโฆษก ดีเอสไอ เป็นผู้รับเรื่องไว้
นอกจากนี้ นายชาญวิทย์ ยังเรียกร้องขอให้ดีเอสไอตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 2565 ,2566 และ 1462 ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต และการขอ น.ส.3 ก. รวมทั้งหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถือครองที่ดินและ น.ส.3 ก.เลขที่ 3977 ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต โดยอ้างว่าตนเองได้ซื้อที่ดินดังกล่าวมาจากบริษัท ภูเขาหกลูก จำกัด และได้จดทะเบียนซื้อที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส.3 ก เลขที่ 3977 เลขที่ดิน 4 ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต พร้อมไโอนสิทธิครอบครองที่ดินมาจากนายเกษม ห่อทิพย์ ลูกชายของนายหรน ห่อทิพย์ ผู้เป็นบิดาซึ่งผู้ครอบครองที่ดินสค.1 เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2557
ขณะเดียวกันนายชาญวิทย์ ยังตนตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาของคณะกรรมการที่จังหวัดภูเก็ตตั้งขึ้นมาเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าอาจไม่โปร่งใส โดยอ้างว่าการเพิกถอนสิทธิ์อาจเนื่องมาจากอีกฝ่ายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ดังนั้นเพื่อความเป็นธรรม ขอให้มีการแปลภาพถ่ายทางอากาศและตรวจสอบตามข้อเท็จจริง โดยขอให้ชาวบ้านที่ยังถือสิทธิ์ครอบครองที่ดินเข้าเป็นพยานด้วย
นอกจากนี้นายชาญวิทย์ ได้นำเอกสารน.ส.3 ก. มายืนยันความเป็นเจ้าของ โดยระบุว่าเป็นการซื้อที่ดินทั้ง 3 แปลง โดยแปลงหนึ่งเป็นการซื้อมาจากนายเกษม ห่อทิพย์ เมื่อปี 2557 เป็นเนื้อที่รวม 24 ไร่ ในราคา 42 ล้านบาท ซึ่งในการยื่นหนังสือต่อดีเอสไอได้มาพร้อมนายเกษม และนางเจ๊ะหยา ตนคลัง ทายาทเจ้าของที่ดินเดิมจำนวนกว่า 50 ไร่อีกหนึ่งแปลงเพื่อมาเป็นพยานยืนยันข้อมูลด้วย






