- 11 ส.ค. 2559
ติดตามรายละเอียด deeps.tnews.co.th
ถือเป็นประเด็นร้อนที่คนไทยจำนวนไม่น้อยยังคงเฝ้าติดตามอย่างต่อเนื่องกับท่าทีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งดูเหมือนจะไม่ลดละความพยายามแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทย โดยเฉพาะหลังจากที่ นางอลิซาเบธ ทรูโด โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ออกมาแสดงความวิตกเกี่ยวกับกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญของไทย โดยอ้างเป็นร่างกฎหมายที่ผ่านขั้นตอนประชามติโยไม่เปิดให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม รวมถึงไม่เปิดให้มีการถกเถียงกันอย่างเสรีก่อนที่จะมีการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าว หลังจากนั้นก็เกิดเหตุการลอบวินาศกรรมในหลายพื้นที่ภาคใต้ในเวลาต่อมา
ขณะที่ นายกลิน เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐ ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ออกถึงจุดยืนในลักษณะเคียงข้างฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองกับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยการย้ำท่าทีเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งกระบวนการกลับคืนสู่การปกครองโดยรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งในระบอบ ประชาธิปไตยโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ พร้อมถึงยังเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการจำกัดเสรีภาพของพลเมือง ทั้งการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมโดยสงบ
และด้วยเจตนาของสหรัฐอเมริกาที่ยังคงย้ำคิดย้ำทำใน ลักษณะดังกล่าว ทำให้ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตัดสินใจเปิดห้องคุยกับคณะทูตานุทูตต่างประเทศ องค์กรระหว่างประเทศ และหอการค้าต่างประเทศ 80 คนจาก 48 แห่ง ประกอบด้วยเอกอัครราชทูต 11 คน อุปทูต 8 คน เพื่ออธิบายผลการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ
โดยการเน้นย้ำให้เห็นว่า ตัวเลขผู้มาใช้สิทธิออกเสียงประชามติครั้งนี้ สูงกว่าเมื่อปี 2550 อันเป็นการแสดงถึงความกระตือรือร้นของประชาชนในการมีส่วนร่วม และท้ายสุดประชาชนส่วนใหญ่ได้ให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญและคำถามเพิ่มเติม ทำให้มีความชัดเจนถึงแผนโรดแมปของรัฐบาล ว่าจะเดินหน้าสู่การเลือกตั้งในปี 2560 พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลจะยังเดินหน้าส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย และความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนของประเทศในอนาคต
นายดอน ได้อธิบายกับคณะทูตานุทูต และผู้เกี่ยวข้องเข้าใจด้วยว่า ผลการออกเสียงครั้งนี้เป็นการแสดงออกของพลังเงียบ เนื่องจากเป็นวัฒนธรรมไทยที่จะไม่แสดงความเห็นแตกต่าง แต่เมื่อผลเป็นเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าประชาชนส่วนมากมองว่าประเทศมีความสงบเรียบร้อยมาตลอด 2 ปี และต้องการให้เป็นเช่นนี้ต่อไป เพราะเป็นเอกลักษณ์ของไทยที่กองทัพจะเข้ามาแก้ปัญหาอย่างเป็นประชาธิปไตย โดยไม่ได้จำกัดสิทธิ และประชาชนส่วนใหญ่ให้การสนับสนุน
และด้วยเหตุผลทั้งหมดเชื่อว่าตัวแทนทูตต่างประเทศที่ประจำการในไทยจะนำเรื่องดังกล่าวไปชี้แจงให้กับประเทศของตัวเองรับทราบ ซึ่งหากประเทศนั้นๆเป็นผู้มีมาตรฐานสากล ก็เชื่อว่าจะไม่ลำบากใจในการเคารพเสียงคนไทยเหมือนกับเสียงของประเทศต่างๆ แต่หากทำใจลำบาก ก็เข้าใจได้ แต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในไทยด้วย
อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศได้สั่งการให้คณะทูตไทยในทุกประเทศนำข้อมูลไปชี้แจงให้รัฐบาลของแต่ละประเทศและสหประชาชาติ(ยูเอ็น)ทราบว่าประเทศไทยจะเดินต่อไปอย่างไรบ้าง ทั้งนี้ เนื่องจากใกล้จะครบ 1 ปีแล้ว และสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงไป เราก็อาจเรียกประชุมทูตไทยที่ประจำการทั่วโลกในเร็วๆนี้ เพื่อเน้นย้ำบางเรื่องและแลกเปลี่ยนการพูดคุยอีกในครั้งต่อไป
"สำหรับคนที่ออกมาเรียกร้องให้รีบจัดการเลือกตั้งนั้น ที่จริงไม่ได้เป็นเหมือนกับการข้ามถนนไปซื้อขนมที่เซเว่น เพราะการเตรียมการเพื่อนำประเทศก้าวเดินต่อไปในอนาคต ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนโดยต้องมีสันติสุขและเสรีภาพ กระบวนการที่จะสร้างประเทศที่มั่นคงนั้นต้องใช้เวลาเท่าไหร่ แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องได้เตรียมการไว้แล้วเพื่อให้ใช้เวลาที่มีให้มากที่สุด"
ช่วงท้ายนายดอน ระบุว่าผ่านที่ประชุมคณะทูตานุทูตด้วยว่า ในบางประเทศที่เข้าใจก็แสดงออกชัดเจนถึงความร่วมมือให้ไทยไปสู่ความเจริญก้าวหน้า เพราะรับรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาโดยง่าย ไทยต้องผ่านช่วงเวลาหลายปีแห่งความวุ่นวายที่ต้องเสียโอกาสและเลือดเนื้อที่ต้องหลั่ง การทำประชามติไม่ได้เกิดขึ้นโดยง่ายและเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ถือเป็นเสียงของประชาชนที่บอกว่าต้องการรัฐธรรมนูญแบบนี้ แต่บางประเทศก็มีความยึดติดกับข้อมูล หรืออะไรก็แล้วแต่ ทำให้การรับรู้ช้า และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงท่าทีโดยฉับพลันได้ ซึ่งก็ได้แต่หวังว่าจะใช้เวลาแสดงความเป็นมิตรกับไทยในอีกไม่นาน และหวังว่า ไม่เพียงแต่นานาประเทศจะร่วมเดินหน้าไปกับเรา แต่ขอคนไทยทุกคนช่วยกันในเรื่องทัศนคติและทุกๆอย่าง เพื่อเดินหน้าไปด้วยกัน