- 15 มี.ค. 2560
ติดตามรายละเอียด http://www.tnews.co.th
กลายเป็นประเด็นร้อนที่หลายฝ่ายเฝ้ารอดูการบทสรุปสุดท้าย ว่ากรณีการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปของบุคคลในครอบครัวชินวัตร อันเป็นรายได้มหาศาลจะต้องถูกเรียกจัดเก็บภาษีเงินได้เหมือนประชาชนบุคคลทั่วไปหรือไม่ ตามหลักกฎหมายว่าด้วยหน้าที่การเสียภาษีเพื่อเป็นรายได้นำมาบำรุง พัฒนาประเทศ !!?!!
ล่าสุด นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการดำเนินการเรียกเก็บภาษีกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีขายหุ้นชินคอร์ปว่า เรื่องนี้ยังไม่แน่ชัดว่าใครผิด ใครถูก เพราะกรมสรรพากรระบุอาจดำเนินการไม่ได้ แต่ท้ายสุดจำเป็นต้องมีคำพิพากษาศาลจะมาคิดเองไม่ได้ จึงต้องให้มีการประเมินและดำเนินการไปตามขั้นตอน เพราะโดยหลักการมีคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกดคีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไว้ว่า การเสียภาษีกรณีนี้ไม่ถูกต้อง ดังนั้นก็ต้องทำให้ถูกต้องในขั้นตอนการยื่นฟ้องต่อศาลภาษีอากรกลาง และถ้าผลไม่เป็นที่พอใจสามารถอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรได้
“เวลาที่เหลือ 16วัน ก็ไม่ยากอะไร เมื่อยื่นประเมินแล้ว อายุความก็หยุด ส่วนเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรที่ไม่ได้เรียกเก็บภาษีก่อนหน้านี้ ปลัดกระทรวงการคลังได้มีการตั้งกรรมการสอบตั้งแต่เมื่อเดือนธันวาคม โดยเป็นการสอบวินัย ถ้าพบว่าผิดก็ดำเนินการตามกฎหมาย โดยย้อนไปตั้งแต่กระบวนการเริ่มต้น”
โดยในแต่ละยุคสมัยการทำหน้าที่อธิบดีกรมสรรพากร พบข้อมูลดังนี้ 1.นายศานิต ร่างน้อย ดำรงตำแหน่งช่วงเดือน ม.ค. 2550-2551 2. นายวินัย วิทวัสการเวช ดำรงตำแหน่งช่วงเดือนต.ค. 2551 – ก.ย. 2553 และ 3. นายสาธิต รังคศิริ ดำรงตำแหน่งช่วงเดือนต.ค. 2553-2556 จนปัจจุบันมีนายประสงค์ พูนธเนศ ดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมสรรพากร
ประเด็นนี้สำคัญเพราะโดยข้อเท็จจริงกับกรณีที่เกิดขึ้นนี้มีข้อกังขามาโดยตลอดว่า ข้าราชการกรมสรรพากรได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างเหมาะสม ถูกต้องหรือไม่ เพียงใด
เนื่องจากพบว่าแม้ศาลภาษีกลางจะมีคำวินิจฉัยว่านายพานทองแท้และน.ส.พินทองทาไม่ใช่เจ้าของหุ้นชินคอร์ปในสัดส่วนตามที่นายทักษิณกล่าวอ้าง แต่โดยบริบทแล้วกรมสรรพากรก็ควรจะยื่นคำร้องขออุทธรณ์พิจารณาคดีให้ถึงที่สุด แต่ปรากฏว่ากรมสรรพากรเลือกทำในสิ่งตรงข้ามคือ "ไม่อุทธรณ์คำสั่งศาลตามสิทธิ์"
ขณะเดียวกันถึงแม้นางเสาวนีย์ กมลบุตร รองปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรจะมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ว่ามีความจำเป็นต้องยึดตามคำสั่งศาลว่าหุ้นชินคอร์ปเป็นของนายทักษิณ แต่ก็มีความเห็นเพิ่มเติมว่าเป็นขอบเขตอำนาจหน้าที่ของอธิบดีกรมสรรพากร สามารถจะวินิจฉัยว่าจะเก็บภาษีการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปจากนายทักษิณแทนนายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทาได้หรือไม่
แต่ปรากฏรายงานข่าวว่า นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร (ในขณะนั้น) ระบุผ่านสื่อมวลชนว่า “เรื่องภาษีหุ้นชินคอร์ปฯ ตอนนี้ถือว่าจบแล้ว ต่อจากนี้ไปกรมสรรพากรจะไม่มีการประเมินภาษีคนในตระกูลชินวัตรอีก เนื่องจากผลการตัดสินของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรถือเป็นที่สิ้นสุด ซึ่งคณะกรรมการฯก็มีมติเป็นเอกฉันท์ ยืนตามคำพิพากษาของศาลทั้ง 2 ศาล ส่วนเรื่องการประเมินภาษี นายทักษิณ คณะกรรมการฯ มอบหมายให้เป็นหน้าที่ของกรมสรรพากรเป็นผู้วินิจฉัย และเมื่อกรมสรรพากรพิจารณาแล้วว่าไม่ต้องเสียภาษี ตรงนี้ก็ถือเป็นที่สิ้นสุดด้วยเช่นกัน เพราะกรมสรรพากรทำตามผลการวินิจฉัยของคณะกรรมการฯ อีกทั้งหากกรมสรรพากรจะอุทธรณ์จะมีค่าธรรมเนียม 23 ล้านบาท ดังนั้นกรมสรรพากรจึงหารือไปยังกระทรวงการคลัง ซึ่งกระทรวงการคลังเห็นว่าไม่ควรอุทธรณ์ ??
ด้วยเหตุผลข้ออ้างดังกล่าวทำให้ นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแต่รัฐ(คตส.) ต้องออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของอธิบดีกรมสรรพากร เพราะหากมีความเห็นไม่ยื่นอุทธรณ์ภาษีนายพานทองแท้และน.ส.พินทองทา ก็ควรเรียกเก็บเงินภาษีจาก นายทักษิณและคุณหญิงพจมาน ทันที หรือ หากคิดว่าเรียกเก็บภาษีจากนายทักษิณไม่ได้ ก็ต้องอุทธรณ์เก็บภาษีจากบุตรทั้งสองคนให้ถึงที่สุดเพื่อไม่ให้รัฐเกิดความเสียหาย
“ไม่เข้าใจทำไมกรมสรรพากรไม่เก็บจากนายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทาแล้ว ยังมาบอกการเก็บภาษีจาก พ.ต.ท.ทักษิณต้องขอดูก่อน ซึ่งสุดท้ายแล้วถ้ากรมสรรพากรเก็บภาษีหุ้น 1.2 หมื่นล้านบาทจากคนในครอบครัวชินวัตรไม่ได้ ผู้บริหารกระทรวงการคลังและกรมสรรพากรน่าจะมีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 ทำให้รัฐเกิดความเสียหาย”
อย่างไรก็ตามกับความซับซ้อนซ่อนเร้น เรื่องการซื้อขายหุ้นชินคอร์ของบุคคลในครอบครัวชินวัตร ที่สุดก็ไม่อาจเลี่ยงพ้นความผิดได้ตลอดรอดฝั่ง สำหรับผู้มีหน้าที่ปกป้องทรัพย์สินแผ่นดินเมื่อศาลอาญาแผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ ได้พิพากษา นางเบญจา หลุยเจริญ อดีต รมช.คลัง สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และอดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร, น.ส.จำรัส แหยมสร้อยทอง อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย, น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย, นายกริช วิปุลานุสาสน์ ผอ.สำนักกฎหมาย กรมสรรพากร คนละ 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา
และ จำคุก น.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ คนใกล้ชิด เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยานายทักษิณ เป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญาเช่นเดียวกัน ฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
ภายหลังจากนางเบญจา ขณะดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมสรรพากร ทำหนังสือตอบกลับ น.ส.ปราณี เมื่อวันที่ ลงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2538 อันเป็นเหตุทำให้ นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร เสียภาษีอากร หรือเสียภาษีน้อยกว่าที่จะต้องเสีย และได้รับประโยชน์ที่มิควร โดยชอบด้วยกฎหมาย จากการที่นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ซื้อหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด เมื่อปี 2549 คนละ 164,600,000 หุ้น ในราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาตลาดหุ้นละ 49.25 บาท
ทั้ง ๆ ที่ต้องถือว่านายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ถือเป็นผู้ได้รับเงินพึงประเมิน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมีหน้าที่ต้องเสียภาษีของส่วนต่างราคาหุ้น คนละ 7,941,950,000 บาท โดยการกระทำดังกล่าวทำให้กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง และราชการเกิดความเสียหาย
ส่วนชะตากรรมของนายสาธิต รังคศิริ ในฐานะอธิบดีกรมสรรพากร ปรากฏว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติตั้งข้อกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ ที่อยู่ในชื่อของนายสาธิต คู่สมรส บุตร บริษัท สิริกาญจนา จำกัด และบุคคลภายนอก
จากการตรวจสอบพบว่า นายสาธิต และนายศุภกิจ ริยะการ อดีตสรรพากรพื้นที่กรุงเทพฯ 22 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีทุจริตคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 4.3 พันล้านบาท และนายสาธิต ได้รับผลประโยชน์โดยนำเงินที่บริษัทเอกชนขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวนประมาณ 179 ล้านบาท ไปซื้อทองคำแท่ง และนายสาธิตยังมีชื่อเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในทองคำแท่งดังกล่าว โดยไม่ปรากฏในบัญชีทรัพย์สินที่ต้องยื่นต่อ ป.ป.ช.
คณะกรรมการปปช.จึงมติให้ส่งรายงาน เอกสาร และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อยื่นคำร้องต่อศาล ซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินของนายสาธิต รวมมูลค่า 714,938,144.77 บาท ตกเป็นของแผ่นดิน และแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาของนายสาธิตสั่งลงโทษไล่ออกหรือปลดออก โดยให้ถือว่ากระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 80 (4)
ส่งผลทำให้นายสาธิตนอกจากจะถูกปปช.เสนอคำร้องให้ยึดทรัพย์มูลค่ารวมกว่า 700 ล้านบาทแล้ว มีข้อมูลด้วยว่านายสาธิตได้ถูกไล่อออกจากราชการตามมติคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน กระทรวงการคลัง หรือ อ.ก.พ.กระทรวงการคลัง ที่มีนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เป็นประธาน !!!
เรียบเรียง : นิตติยา บุญตาวัน สำนักข่าวทีนิวส์