- 07 เม.ย. 2560
ติดตามรายละเอียด http://deeps.tnews.co.th/
จากกรณีได้มีมาตรการบังคับใช้กฎหมาย โดยให้ผู้โดยสารจะต้องรัดเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่งในรถทุกประเภท ที่ทำการจดทะเบียนกับกรมขนส่งทางบก ตามคำสั่งกฎหมาย ม.44 กรณีรถกระบะแบบมีแคปว่า สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้หรือไม่ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบก ได้อธิบายและชี้แจงตรงกันว่า ไม่ใช่แค่ห้ามนั่งท้ายกระบะ แต่ตรงช่วงแคป ก็ห้ามนั่ง โดยมีอัตราปรับขั้นต่ำในอัตราที่นั่งละ 100 บาท ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนทั่วทุกกลุ่มและต่างออกมาคัดค้านกฏหมาย ม.44 นี้ แม้กระทั่งคนมีชื่อเสียงก็ได้แสดงความไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลมีมาตรการบังคับใช้กฏหมาย ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนอย่างมากมาย
แต่ท้ายที่สุดแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและขนส่งได้ออกมาแถลงการณ์หลังถูกต่อต้านกฏหมายอย่างหนัก โดย พล.ต.ท.วิทยา ประยงค์พันธุ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. เผยว่า ทาง สตช.ได้หารือกับทางกรมการขนส่งทางบกเกี่ยวกับแล้ว เห็นว่าเพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน เพราะยังเตรียมตัวไม่ทัน จึงเห็นร่วมกันว่าควรขยายเวลาในการประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับประชาชนเพิ่มขึ้นอีก จากเดิม 15 วัน และเลื่อนการจับปรับออกไปเป็นหลังสงกรานต์ ทั้งนี้ ได้มีการนำเรียนเรื่องนี้ให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ทราบแล้ว โดยนำเรียนผ่านเลขาธิการนายกฯ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ก็เห็นด้วย โดยกล่าวว่า ไม่อยากให้ประชาชนเดือดร้อน จึงสั่งให้ไปดูช่องทางช่วยเหลือประชาชนไม่ให้เกิดอุบัติเหตุในช่วงสงกรานต์ ทำให้จะไปเข้มงวดในเรื่องการใช้ความเร็ว เรื่องเมา และเรื่องการฝ่าฝืนกฎจราจร
ล่าสุด เกี่ยวกับกรณีดังกล่าวนี้ เพจเฟซบุ๊กดังอย่าง "P.khondee ( พี่คนดี กวีสมัครเล่น)" ได้โพสต์แสดงความคิดเห็นถึงอีกแง่มุมหนึ่งของการออกกฏหมายดังกล่าว ซึ่งระบุข้อความว่า..
"เจตนาดีที่ ห่วงใยอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดจากการเล่นน้ำสงกรานต์บนรถกระบะของรัฐบาล ได้ถูกขยายไปจนกลายเป็นรัฐบาลออก ม44 แบบไม่เห็นใจคนจนได้อย่างไร ขอลองลำดับความตามที่ตนเองเข้าใจ ดังนี้ อาจผิดหรือเปล่าไม่รู้
>รัฐบาลไม่อยากให้มีการใช้รถกระบะวิ่งสาดน้ำ จึงได้พยายามให้เกิดมาตรการณ์พิเศษเพื่อบังคับให้เข้มงวดขึ้นในช่วงเวลาอันตรายที่จะมาถึง
>มีการพูดถึง กฎหมายที่ห้ามนั่งกระบะมีอยู่นานแล้วแต่ไม่มีใครปฏิบัติตามจริงๆ
>คนที่ใช้กระบะเพื่อบรรทุกคนโดยสารตามเคยชินที่มีสำนึกดี รู้สึกว่าตนจะเดือดร้อน จากการบังคับใช้กฎหมายในช่วงนี้
>มีคนสร้างข่าวลือต่อว่า รัฐบาลออก ม 44 ห้ามไม่ให้ นั่งในสเปซแค็ป
>คนไปถามอธิบดีขนส่งว่านั่งได้ไหม เขาก็ต้องตอบว่าไม่ได้ตามกฎหมายที่มีอยู่นานแล้วแต่ไม่มีใครสนใจ
>คนไปถามว่าตำรวจจะจับไหม ตำรวจก็ต้องตอบว่าต้องจับ เพราะตำรวจเป็นผู้รักษากฎหมาย
>มีตำรวจที่อาจจะอ่อนดุลยพินิจไปจับ ผู้ปกครองที่ใช้รถกระบะที่มีแค็ฟส่งเด็กไปโรงเรียนจริงๆ เป็นบางราย
>มีหลายคนโทษรัฐบาลว่าออกกฎหมายมาหักดิบ ใช้ม 44 พร่ำเพรื่อ ไม่ค่อยเป็นค่อยไป ไม่เห็นใจคนจน
ลองมาไล่เรียงดูกันจริงๆ
เรื่องเสปชแค็ปนี่จะไม่เป็นประเด็นเลย ถ้าไม่มีคนสร้างเรื่อง ว่า รัฐบาลออก ม 44 ห้ามนั่งในแค็ป ไม่มีใครส่งต่อ จนทำให้นักข่าวต้องไปถามต่อ ขอให้ลองดูจากบันทึกข้อความของตำรวจจากการประชุมเกี่ยวกับ ม 44 ที่ออกใหม่ ที่ผมลงไว้ในกลอนที่แล้ว เขาบอกไว้ถึงขนาดว่า "รถยนต์สเปซแค็ป ผู้นั่งในแค็ปไม่บังคับ" แล้วจะบอกว่าเขาออก ม 44 เพื่อให้ไปจับได้คนนั่งแค็ปอย่างไร เรื่องกฎหมายขนส่งเกี่ยวกับการใช้รถกระบะไม่เกี่ยวอะไรกับ ม 44
ข้อเท็จจริงที่พึงตระหนักคือ ***รัฐบาลออก ม44 14/60 เกี่ยวกับเรื่อง เข็มขัดนิรภัย และ เรื่องใบสั่ง ส่วนเรื่อง ห้ามนั่งรถกระบะที่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นรถนั่ง เป็นกฏหมายการขนส่งทางบก ปี 2522 ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับ ม 44***
บางทีก็อยากบ่นตำรวจถึงความไม่มีวิจารณญาณ ความไม่อะลุ่มอล่วยเหมือนกันนะ แต่บางทีก็ทำได้ไม่เต็มปาก ตราบที่ตำรวจเขาอ้างข้อกฎหมายที่เขาต้องรักษา แต่อาการฟิตของตำรวจแบบนี้ ไม่น่าต้องตกอกตกใจไป จำได้ไหม ไม่นานมานี้ มีมาตรการ 5 จอม จอมปาด จอมล้ำ จอมย้อน จอมขวาง จอมปลอม แข็งขันอยู่กี่วัน ตอนนี้ก็เหมือนลืมๆ กันไปหมดแล้ว กลับสู่สภาพเดิม
ที่ผ่านมามีการพยามบิดเบือนเรื่องราวเพื่อดิสเครดิตรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง เช่น
-การจะทำดิจิตัลฮับ ก็ถูกบิดให้เป็นซิงเกิ้ลเกทเวย์
-การให้สรุปผลงานมารายงาน ก็ถูกบิดไปว่ารัฐจะยุบห้องสมุดออกแบบ
-การชี้แจงที่มาของรายได้ ก็ถูกบิดไปว่า รัฐบาลจะขึ้นแวท
-การมีมาตรการลดอุบัติเหตุจากการเล่นน้ำสงกรานต์ ก็กลายเป็นว่ารัฐบาลหักดิบออกกฎหมาย ไม่ค่อยเป็นค่อยไป ไม่เข้าใจคนจนไปอีก
การบิดเบือนนี้เกิดจากคนไม่กี่คนที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่เมื่อมันเกิดโดนใจคนที่อาจจะเดือดร้อนหลายคนมันก็เกิดเป็นประเด็นขึ้นมาและลุกลามเป็นไฟลามทุ่ง
พวกที่ชอบเล่นสงกรานต์บนกระบะ อย่าบอกว่า เป็นความปลอดภัยของตัวกูเองรัฐบาลไม่ต้องมายุ่ง ชอบใจที่มีคนให้ความเห็นไว้ว่า ถ้าเกิดมีคนไปเล่นน้ำบนรถกระบะแล้วลื่นตกลงมา คนอื่นเขาหักหลบไปชนคันอื่น คนถูกชนก็เดือดร้อน คนชนก็เดือดร้อน แต่คนที่ตกลงมาไม่ต้องรับผิดอะไร โดดขึ้นกระบะไปเล่นน้ำได้ต่อไปอย่างสนุกสนาน ความเข้มงวดที่จะนำมาใช้ควบคุมในช่วงสงกรานต์นี้ คงไม่ใช่เพื่อดูแลคนที่อยากสนุกเพียงอย่างเดียว แต่ใช้ดูแลคนที่อาจจะเดือดร้อนเพราะความอยากสนุกของคนบางคนด้วย
การดูแลความปลอดภัยของคนส่วนใหญ่ คงไม่ใช่เรื่องที่พร่ำเพรื่อของการบังคับใช้กฎหมายแต่อย่างใด ถ้าเรามองเจตนาเขาให้ดี ถ้าเราไม่ได้เป็นคนที่ชอบขึ้นไปเล่นน้ำสงกรานต์บนรถกระบะ เราก็ใช้ชีวิตของเราไปอย่างปกติที่เคยทำมาตลอด ก็ไม่น่าต้องตกใจอันใดเลยกับความเข้มงวดช่วงนี้เลย ยิ่งตอนนี้ มีการประกาศชัดเจนแล้ว ยิ่งน่าจะเลิกห่วงได้แล้ว บางคนมองว่า รัฐบาล จุกจิก กับเรื่องเล็กน้อย แต่เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้แหละมันคือพื้นฐานของเรื่องใหญ่ๆ ถ้า วินัยพื้นฐานทำไม่ได้ หวังแต่ความสนุกสนาน ความสะดวกสบายส่วนตน ก็ยากที่จะหวังให้ประเทศเจริญทันใคร ถ้ารัฐบาลนี้ไม่ทำ รัฐบาลต่อไปก็ยิ่งจะไม่ทำอยู่ดี เพราะกลัวเสียความนิยม แล้วเราก็จะอยู่กันแบบลุ่มๆ ดอนๆ ต่อไปอย่างนี้ บางทีก็คิดว่าในโอกาสต่อไปไม่ว่าใครรจะเข้ามาเป็นรัฐบาลน่าจะมาสะสางกฎหมายที่อาจจะไม่เหมาะสม หรือไม่สามารถบังคับใช้ได้ ออกไป ให้รู้แล้วรู้รอด ดูว่า เมื่อไม่มีกฎหมายนั้นๆแล้ว มันจะสร้างปัญหาจริงไหม ถ้ามันเกิดปัญหาจริง คนเห็นปัญหากันถ้วนหน้าแล้ว ค่อยมาล้อมคอกกันใหม่กันอีกที
รัฐบาลควรถูกตำหนิเรื่องไม่สามารถชี้แจงความเข้าใจให้ทันท่วงที แต่ก็อยากให้เห็นใจเขาหน่อย ระหว่างคนจุดไฟ กับคนดับไฟ ใครจะทำงานได้เร็วกว่ากัน ข้อสำคัญคือเราต้องพยายามระมัดระวังที่จะไม่ไปต่อไฟ กับเรื่องที่ยังไม่ชัดเจน เพราะมันจะกลายเป็นไฟลามทุ่งที่จะเผาตัวเองไปด้วย ต้องขออภัยไว้ก่อน ถ้าการแสดงความคิดเห็นนี้ทำให้เพื่อนคนใดไม่พอใจ มันไม่ใช่การชี้ผิดถูก มันเป็นแค่การแสดงความเห็นของคนคนหนึ่งเท่านั้น ท่านมีสิทธิ์ที่จะเห็นด้วยหรือไม่ก็ได้ แต่จะเม้นต์อะไร ควรให้เกียรติกันหน่อย แบบที่มากล่าวว่า ผมไปเลียทหาร อะไรแบบนั้นไม่เอานะครับ ผมไม่ได้เป็นทหารใต้บังคับบัญชาของใครครับ จึงจะต้องไปเลีย
แล้วไม่ต้องมากล่าวหาว่าผมไม่เห็นใจ วิถีชีวิต คนจนหรือคนต่างจังหวัดอีกนะครับ ประเด็นที่ผมอยากจะสื่อตรงนี้มันคนละประเด็นกัน มอเตอร์ไซค์ย้อนศรก็อ้างความจนความลำบาก ผู้ทำการค้ายึดพื้นที่สาธารณะก็อ้างความจนความลำบาก รถตู้ซอยที่นั่งถี่ยิบก็อ้างความจนความลำบาก ผู้ประกอบการใช้รถกระบะขนคนเหมือนขนหมูก็อ้างความจนความลำบาก ผมว่านะคนที่มีรถกระบะหลายๆคน ไม่ว่าในกรุงหรือต่างจังหวัด เขาร่ำรวยกว่าผมอีก ตอนนี้รัฐบาลฟังเสียงบ่นแล้ว ยอมให้นั่งกระบะไม่เกิน 6 คน นั่งรถตู้ไม่เกิน 13 คน ผมว่าเป็นตัวเลขที่เหมาะสมแล้วนะ หวังว่าคงปิดประเด็น รัฐบาลไม่เห็นใจคนจนลงได้แล้วนะครับ รัฐบาลเผด็จการอะไรก็ไม่รู้ ยืดหยุ่นได้ กว่ารัฐบาลประชาธิปไตยอีกอ่ะ ถ้าผมบอกว่า ชอบและเชียร์ มันจะผิดมากไหม"
ขอบคุณ เฟซบุ๊ก P.khondee ( พี่คนดี กวีสมัครเล่น)