- 14 ต.ค. 2560
ติดตามรายละเอียด : http://www.tnews.co.th
นับเป็นเวลายาวนานถึง 70 ปี นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงขึ้นครองราชย์ และทรงประกอบพระราชกรณียกิจต่างๆ เพื่อความสุขของปวงชนชาวไทย ทุกแห่งหนถิ่นทุรกันดาร ท่านเสด็จไปเยี่ยมเยียนราษฎรโดยมิทรงเหน็ดเหนื่อย และทรงมีความห่วงใยประชาชนอยู่เสมอ แม้ว่าวันนี้พระองค์ท่านจะเสด็จสวรรคตไปแล้ว แต่ประชาชนชาวไทยทุกคนก็ยังรักและคิดถึงพระองค์ท่านอยู่เสมอ
โดยเมื่อวานนี้ (26 ต.ค.) นับเป็นอีกวัน ที่ปวงชนชาวไทยรู้สึกหัวใจแตกสลาย น้ำตาหลั่งรินอีกครั้ง กับพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ซึ่งพอถึงช่วงเวลาถวายพระเพลิงจริงในเวลา 22.00 น. ประชาชนที่อยู่ในมณฑลพิธีท้องถนนสนามหลวง ต่างส่งเสียงร่ำไห้ ร้องระงม หลังเห็นควันพวยพุ่งออกพระเมรุมาศ ก่อนที่ช่วงเช้าวันนี้ (27 ต.ค.) เวลาประมาณ 08.30 น. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร จะเสด็จพระราชดำเนินไปยังพระเมรุมาศ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ในการพระราชพิธีเก็บพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และทำพิธีอัญเชิญพระโกศพระบรมอัฐิเข้าพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
ทุกช่วงเวลาและทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยิ่งตอกย้ำให้ประชาชนชาวไทย ตระหนักถึงความเสียสละและความรักที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีต่อราษฎรทุกคน ไม่ว่าจะเกิดปัญหาใด ท่านจะทรงช่วยชี้แนะแนวทางแก้ไข และทรงคิดค้นโครงการ รวมถึงพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนชาวไทย ซึ่งหากย้อนไป เมื่อครั้งที่พระองค์ท่าน พระราชทานสัมภาษณ์เป็นภาษาฝรั่งเศส แก่สถานีโทรทัศน์ RTS เมื่อพระชนพรรษา 33 พรรษา โดยตรัสถึงความห่วงใยที่มีต่อคนไทย
โดยใจความตอนหนึ่งของการสัมภาษณ์ ที่ผู้สัมภาษณ์ ได้ถามถึงสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีความเป็นห่วงต่อพสกนิกรชาวไทยมากที่สุด พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้มีพระราชดำรัส ถึงความห่วยใยในปัญหาด้านสาธารณสุขของเมืองไทย ว่า "เรื่องสาธารณสุขเป็นปัญหาระดับโลก และทุกรัฐบาลที่ดีก็ควรจะจัดการเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน โดยพระองค์ทรงเริ่มต้นโครงการรณรงค์เกี่ยวกับสาธารณสุขมาหลายปีแล้ว เพื่อที่จะสอนให้ประชาชนได้รู้และเข้าใจวิธีการใช้ชีวิต"
นอกจากนี้ พระองค์ยังตรัสถึงโครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศ เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมมายาวนาน แต่เมื่อมีการพัฒนาเกิดขึ้น ค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตก็มากขึ้น และคนก็มีความต้องการมาก ขึ้นดังนั้นผู้คนจึงต้องมีรายได้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามเกษตรกรรมไม่สามารถสร้างรายได้ให้รวดเร็วพอ อุตสาหกรรมคือทางออกเดียวเท่านั้น ประเทศไทยจึงกำลังมุ่งหน้าไปหาอุตสาหกรรม โดยเริ่มมีการทำอุตสาหกรรมมานานแล้ว แต่ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมในขั้นเริ่มต้น
ซึ่งบทสัมภาษณ์ดังกล่าวนั้น สะท้อนให้เห็นถึงพระราชหฤทัยที่ทรงห่วงใยประชาชนของพระองค์ตลอดเวลา และทรงพยายามหาหนทางทุกอย่าง ช่วยประชาชนให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี แม้ในช่วงวาระสุดท้ายก่อนพระองค์จะเสด็จสวรรคต ก็ยังทรงห่วงใยประชาชนถึงเรื่องสถานการณ์น้ำท่วมด้วยเช่นกัน พระองค์ทรงเป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ ที่ยอมเหนื่อยเพื่อให้ประชาชนของพระองค์มีความสุข และไม่ว่าจะย้อนอ่านเรื่องเล่าของพระองค์กี่ครั้ง น้ำตาก็ยังคงปริ่มไหล ด้วยความตื้นตันใจ และความภักดีที่มีต่อพระองค์อย่างไม่เสื่อมคลาย
ขอบคุณภาพจาก : BkBn Easy, Les archives de la RTS
ขอบคุณภาพ: Twiiter @Donaldae , @kimwmy_