กกต.งานเข้า ศาลคดีทุจริตฯ รับฟ้องคดีกลั่นแกล้ง  พิธา ปมหุ้นไอทีวี

ศาลอาญาคดีทุจริตฯ รับฟ้อง ประธาน กกต. และพวกรวม 7 คน กล่าวหากลั่นแกล้ง พิธา ไม่ไต่สวนถือหุ้น ITV นัดฟังวันที่ 8 ส.ค.นี้

    ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นายยงยุทธ เสาแก้วสถิต อาชีพทนายความ ยื่นฟ้องนายอิทธิพร บุญประคอง กับพวกรวม 7 คน ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน ของรัฐ กระทำการในฐานะเจ้าพนักงานของรัฐ โดยทุจริต เจตนา ร่วมกันออกประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2566

กกต.งานเข้า ศาลคดีทุจริตฯ รับฟ้องคดีกลั่นแกล้ง  พิธา ปมหุ้นไอทีวี


โดยคำฟ้องระบุว่า โจทก์เป็นหนึ่งในจํานวนคนไทย หลายหมื่นที่ลงคะแนนเสียงเลือกผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งและแบบบัญชี รายชื่อ เขต 8 มีนบุรี กทม. สังกัดพรรคก้าวไกล เช่นเดียวกับประชาชนชาวไทยผู้มีสิทธิ ออกเสียงเลือกตั้งทั่วประเทศที่เลือกผู้สมัครและพรรคก้าวไกลรวมมากกว่าสิบสี่ล้านคน เมื่อวันที่ 14 พ.ค.66 โดยคาดหวังว่าพรรคก้าวไกลจะได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล และได้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ซึ่งมีความรู้ความสามารถเหมาะสมที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศไทย คนต่อไป

กกต.งานเข้า ศาลคดีทุจริตฯ รับฟ้องคดีกลั่นแกล้ง  พิธา ปมหุ้นไอทีวี

โจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดีนี้ จําเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ดำรงตำแหน่งประธานกกต. ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งและคณะกรรมการ การเลือกตั้ง มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายหลายฉบับ เช่น ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ตาม พรป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2560ตาม พรป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 มีหน้าที่กำกับดูแลงานในความรับผิดชอบของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งและของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ให้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ


จำเลยที่ 2-6 เป็นกรรมการการเลือกตั้ง โดยมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายหลายฉบับเช่นเดียวกับจำเลยที่ 1,2 เป็นเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งและนายทะเบียนพรรคการเมือง มีหน้าที่กำกับ ดูแล งานโดยทั่วไป งานธุรการ ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ประกาศและมติของคณะกรรมการการเลือกตั้ง งานในหน้าที่นายทะเบียนพรรคการเมือง กำกับดูแล พรรคการเมืองการดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองโดยจำเลยที่ 7 ขึ้นการบังคับบัญชากับจําเลยที่ 1 ระหว่างวันที่ 31 ม.ค.66 ต่อเนื่องถึงวันที่ 13 ก.ค.66 เวลากลางวันและกลางคืน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด

กกต.งานเข้า ศาลคดีทุจริตฯ รับฟ้องคดีกลั่นแกล้ง  พิธา ปมหุ้นไอทีวี

กกต.งานเข้า ศาลคดีทุจริตฯ รับฟ้องคดีกลั่นแกล้ง  พิธา ปมหุ้นไอทีวี

 

จำเลยทั้ง 7 ได้บังอาจกระทำผิดเป็นเจ้าพนักงาน ของรัฐ กระทำการในฐานะเจ้าพนักงานของรัฐ โดยทุจริต เจตนา ร่วมกันออกประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้งส.ส. พ.ศ.2566 ในหนังสือราชกิจจานุเบกษา โดยจำเลยที่ 1 เป็น ผู้ลงนามในประกาศดังกล่าว กำหนดวันรับสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งและ แบบบัญชีรายชื่อ ตลอดจนรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

 

โดยจำเลยทั้ง 7 โดยทุจริต เจตนาร่วมกัน แบ่งเขตเลือกตั้งทั่วประเทศ ออกแบบบัตรเลือกตั้งทั้งการเลือกส.ส.ทั้งแบบแบ่งเขต เลือกตั้งและแบบบัญชีรายชื่อให้แตกต่างจากการเลือกตั้งหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา พิมพ์บัตรเลือกตั้ง เกินกว่าจำนวนประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากกว่า 7 ล้านใบ ทำให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส. ตลอดจนประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วประเทศไม่เข้าใจ หรือสับสน วุ่นวาย รวมทั้งออกระเบียบ ประกาศต่างๆ ในลักษณะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยให้พรรครัฐบาลเดิมชนะ การเลือกตั้งและได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งหรือเป็นรัฐบาลสมัยที่ 2 จําเลยทั้ง 7 ก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า ก่อนการเลือกตั้ง ประชาชนนิยมฝ่ายรัฐบาลน้อยกว่าฝ่ายค้าน โดยก่อน ขณะ หรือหลังรับสมัคร รับเลือกตั้ง ส.ส.ทั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งและแบบบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมือง

กกต.งานเข้า ศาลคดีทุจริตฯ รับฟ้องคดีกลั่นแกล้ง  พิธา ปมหุ้นไอทีวี

จำเลยทั้ง 7 มีหน้าที่ต้องตรวจสอบคุณสมบัติของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล หรือผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกคนว่าผู้ใดไม่มีคุณสมบัติและ หรือขาดคุณสมบัติที่จะสมัครรับเลือกตั้ง เป็นส.ส.ตามกฎหมาย แต่จำเลยทั้ง 7 หาได้ทำตามอำนาจหน้าที่ของพวกตนไม่ จนปล่อยล่วงเลยมาจนถึงวันเลือกตั้งทั่วไป คือวันที่ 14 พ.ค. มีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองหนึ่ง มายื่นคำร้องต่อจำเลยทั้ง 7 กล่าวหาว่านาย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถือหุ้นสื่อไอทีวี จำนวนเพียงประมาณ 4.2 หมื่นหุ้น ในจำนวนหลายล้านหุ้น

 

จึงอาจหรือขาดคุณสมบัติที่จะเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และต่อมามีผู้ยื่น ข้อกล่าวหาในลักษณะเดียวกันอีกหลายคน แต่จำเลยก็ไม่ดำเนินการสืบสวน ไต่สวน และวินิจฉัย โดยพลันตามกฎหมาย หรือไม่ส่งเรื่องให้ศาลฎีกามีคำสั่งหรือคำพิพากษาตามกฎหมาย ซึ่งจำเลยทั้ง7 ก็ทราบดีว่าคล้ายกับกรณีของนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ผู้สมัครส.ส. จังหวัด นครนายก ที่ถูกพวกจำเลยทั้ง7เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง

 

ต่อมาเมื่อ วันที่ 2 พ.ค.66 ศาลฎีกา มีคำสั่งคืนสิทธิ สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งให้แก่นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จังหวัดนครนายก กรณีถูกกล่าวหา ว่านายชาญชัย ถือหุ้นสื่อเพียงประมาณ 200หุ้นในจำนวนหลายล้านหุ้น

 

ทั้งโจทก์ได้ส่งหนังสือคัดค้าน และชี้แจงให้จำเลยที่ 1,2ฉบับลงวันที่ 26 พ.ค.66 จำเลยทั้ง7 ได้มีหนังสือด่วน ที่สุดไปถึงนายชาญชัย และผู้เกี่ยวข้อง แจ้งคำสั่งศาลฎีกาคืนสิทธิให้แก่นายชาญชัย ดังกล่าว ทั้งนายพิธาเคยเป็น ส.ส.มาแล้ว 4 ปี หรือ 1 สมัย จนครบวาระ ครั้งนี้เป็นการสมัครรับเลือกตั้งเป็นครั้งที่ 2 ของนายพิธา การกระทำของจำเลยทั้ง7 ดังกล่าวข้างต้นที่ไม่รีบดำเนินการสืบสวน ไต่สวน วินิจฉัย หรือส่งศาลฎีกา มีคำสั่งหรือคำพิพากษาต่อไป ตามกฎหมาย กรณีที่นายพิธา ถูกร้องเรียนดังกล่าว จึงเป็นการปฏิบัติหรือละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ทำให้บุคคลอื่นคือโจทก์หรือนายพิธา ได้รับ ความเสียหาย

 

จำเลยทั้ง 7 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ กระทำการในฐานะเจ้าพนักงานของรัฐ โดยทุจริต เจตนาร่วมกันก่อนประกาศผลการเลือกตั้ง ส.ส.จำเลยทั้ง7 มีพฤติการณ์ที่น่าเคลือบแคลงสงสัย หลายประการ เช่น ประกาศผลการเลือกตั้งได้ช้ากว่าที่ควร จำเลยทั้ง7ปฏิเสธไม่รับความช่วยเหลือ จากหน่วยหรือองค์กรเอกชน และไม่เลือกใช้การสื่อสารที่ทันยุคทันสมัยแต่อย่างใด โดยผลการเลือกตั้งส.ส. เมื่อวันที่ 14 พ.ค.ปรากฏว่าประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียง เลือกตั้งมากกว่า 14 ล้านคนรวมทั้งโจทก์ด้วยเลือกพรรคก้าวไกล จนพรรคก้าวไกลได้ส.ส.มากเป็นอันดับหนึ่งคือได้จำนวน 151 คน

 

โดยโจทก์และผู้ลงคะแนนเสียงเลือกนายพิธา และพรรคก้าวไกลเหตุ เพราะเห็นว่านายพิธา เป็นคนมีความรู้ความสามารถสูงเหมาะสมที่จะเป็น นายกรัฐมนตรี โดยมุ่งหวังจะให้พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลและนายพิธาเป็น นายกรัฐมนตรีคนต่อไป แต่จำเลยทั้ง 7 โดยทุจริต เจตนาร่วมกัน กลั่นแกล้งนายพิธา ด้วยการประชุมวินิจฉัย ลงมติหรือมีความเห็นร่วมกันส่งเรื่องที่นายพิธาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ถูกร้องเรียนว่าถือหุ้นสื่อไอทีวี ต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือศาลการเมือง อย่างเร่งรีบ เพื่อให้วินิจฉัยว่า นายพิธา ไม่มีคุณสมบัติและหรือขาดคุณสมบัติที่จะสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.เพราะถือหุ้นสื่อ และขอให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง

 

โดยจำเลยทั้ง 7 มิได้ ทําเนินการสืบสวน ไต่สวน และวินิจฉัยให้ละเอียดรอบคอบเสียก่อน ตามอำนาจหน้าที่ หรือตามขั้นตอน ของกฎหมายแต่อย่างใด อันเป็นการดำเนินการก่อนหรือขณะวันโหวตเลือกนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่ 13 ก.ค.2566 เพื่อลดความน่าเชื่อถือของนายพิธา และพรรคก้าวไกล ต่อสมาชิกรัฐสภา ทั้งที่นายพิธา เป็น ส.ส.มาจนครบหนึ่งสมัยหรือสี่ปีแล้ว ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีผู้ใดร้องคัดค้านแต่อย่างใด จึงเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต ทำให้บุคคลอื่นคือโจทก์และหรือนายพิธา ได้รับความเสียหาย เหตุเกิดที่ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร

    ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีคำสั่งให้รับคดีไว้เพื่อตรวจฟ้อง ให้นัดฟังคําสั่งหรือคําพิพากษา วันที่ 8 ส.ค. เวลา 09.30 น.