ไบโพลาร์ คืออะไร? รู้ทันอาการ สาเหตุ และวิธีรักษาไบโพลาร์

โรคไบโพลาร์ หรือ โรคอารมณ์สองขั้ว อาการแบบไหนถึงเสี่ยง? โรคไบโพลาร์รักษาที่ไหนดี พร้อมแนะนำยารักษาไบโพลาร์ วิธีดูแลตัวเอง และการใช้ชีวิตร่วมกับผู้ป่วยไบโพลาร์

ไบโพลาร์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ โรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar Disorder) เป็นภาวะทางจิตใจที่ผู้ป่วยจะมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงอย่างสุดขั้ว สลับจากความสุขสุดขีดไปสู่ภาวะซึมเศร้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งไบโพลาร์อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมาก 

 

การทำความเข้าใจวิธีรักษาไบโพลาร์หลายแบบ ทั้งโดยการใช้ยารักษาไบโพลาร์ และการบำบัดทางจิตต่าง ๆ จะมีโอกาสช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการและใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่มากขึ้น

 

  • ทำความรู้จัก โรคไบโพลาร์คือโรคอะไร? ทำความเข้าใจโรคอารมณ์สองขั้วให้มากขึ้น

ไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) คือโรคทางอารมณ์ชนิดหนึ่งที่ผู้ป่วยจะมีการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์อย่างรุนแรงผิดปกติ โดยอาการจะสลับไปมาระหว่างภาวะอารมณ์ดีผิดปกติ (Mania หรือ Hypomania) กับภาวะซึมเศร้า (Depress) ซึ่งต่างจากอารมณ์แปรปรวนทั่วไปตรงที่ระดับความรุนแรงอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ความคิด การตัดสินใจ การนอนหลับ และพฤติกรรมของผู้ป่วยโรคไบโพลาร์อย่างเห็นได้ชัด

โรคไบโพลาร์สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย โดยมักเริ่มแสดงอาการในช่วงวัยรุ่นถึงวัยผู้ใหญ่ตอนต้น หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาการไบโพลาร์อาจรุนแรงขึ้นและส่งผลต่อความสัมพันธ์ การทำงาน และคุณภาพชีวิตในด้านต่าง ๆ ได้ 

 

  •  โรคไบโพลาร์ อาการเป็นอย่างไร? เช็กอาการแต่ละช่วงที่ควรสังเกตให้ดี

โรคไบโพลาร์

อาการของโรคไบโพลาร์ไม่ได้แสดงออกในรูปแบบเดียวตลอดเวลา แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นรอบ ๆ หรือที่เรียกว่า ขั้วอารมณ์ (Episodes) ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 ขั้วหลัก ได้แก่ อารมณ์ขั้วบวกหรือช่วงอารมณ์ดีผิดปกติ (Mania) และอารมณ์ขั้วลบหรือช่วงซึมเศร้า (Depression) โดยลักษณะอาการของไบโพลาร์แต่ละช่วงมีดังนี้

 

1. อารมณ์ขั้วบวกหรือช่วงอารมณ์ดีผิดปกติ (Mania)

  • อารมณ์ดีผิดปกติ รู้สึกมั่นใจเกินเหตุ
  • พูดเร็ว พูดมาก ความคิดแล่นเร็วมาก
  • นอนพักผ่อนน้อยแต่ไม่รู้สึกเหนื่อย
  • สมาธิสั้น หุนหันพลันแล่น ไม่มีสติในการตัดสินใจ
  • มีความคิดหรือพฤติกรรมเสี่ยงอันตราย เช่น ขับรถเร็ว ลงทุนเกินตัว
  • อาจมีอาการหลงผิดหรือหวาดระแวงในรายที่รุนแรง
     


2. อารมณ์ขั้วลบหรือช่วงซึมเศร้า (Depression)

  • รู้สึกเศร้า หดหู่ สิ้นหวัง หรือไม่อยากมีชีวิตอยู่
  • หมดความสนใจในกิจกรรมที่เคยชอบ
  • พลังงานลดลง เหนื่อยง่าย นอนไม่หลับหรือนอนมากเกินไป
  • สมาธิลดลง รู้สึกตัวเองไร้ค่า หรือรู้สึกผิดอย่างไม่มีเหตุผล
  • อาจมีความคิดอยากทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตาย

 

  • ไบโพลาร์ เกิดจากอะไร? รู้ทันต้นตอ ป้องกันได้ทัน

หลายคนอาจสงสัยว่าไบโพลาร์เกิดจากอะไร ทำไมบางคนจึงมีอารมณ์แปรปรวนแบบสุดขั้ว ในขณะที่บางคนสามารถควบคุมอารมณ์ได้ตามปกติ ความจริงแล้วไบโพลาร์ มีสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับหลายปัจจัย ซึ่งเมื่อผสมผสานกันก็อาจกระตุ้นให้เกิดอาการของโรคนี้ได้ โดยสาเหตุหลัก ๆ ที่กระตุ้นไบโพลาร์ ได้แก่

  • พันธุกรรม (Genetics) หากสมาชิกในครอบครัวเคยป่วยเป็นโรคไบโพลาร์ โอกาสในการเป็นโรคนี้จะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในพี่น้องฝาแฝดหรือพ่อแม่ลูก
  • ความไม่สมดุลของสารเคมีในสมอง (Neurotransmitters) ระดับสารสื่อประสาท เช่น โดพามีน และเซโรโทนินที่ผิดปกติ อาจส่งผลให้เกิดภาวะอารมณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง
  • เหตุการณ์กระทบจิตใจ (Trauma) ความเครียดสะสม การถูกทำร้ายทางร่างกายหรือจิตใจ สูญเสียคนสำคัญ หรือประสบอุบัติเหตุรุนแรง ล้วนเป็นตัวกระตุ้นสำคัญให้เกิดโรคไบโพลาร์
  • สิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิต การใช้สารเสพติด นอนหลับไม่เป็นเวลา หรือทำงานที่มีความกดดันสูง ก็อาจส่งผลต่ออารมณ์ในระยะยาวและกระตุ้นโรคไบโพลาร์ได้
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ในบางราย การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ช่วงหลังคลอด หรือวัยรุ่น ก็อาจเป็นช่วงที่เริ่มมีอาการของไบโพลาร์

 

  • วิธีรักษาไบโพลาร์ มีอะไรบ้าง? เข้าใจแนวทางการดูแลรักษาไบโพลาร์

วิธีรักษาไบโพลาร์

โรคไบโพลาร์ไม่ใช่อาการที่เกิดขึ้นแล้วหายไปได้เอง การรักษาที่เหมาะสมตั้งแต่ต้นจะช่วยให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น หลายคนอาจสงสัยว่าวิธีรักษาโรคไบโพลาร์ต้องทำอย่างไร หรือไบโพลาร์ต้องกินยาตลอดชีวิตเลยหรือเปล่า คำตอบคือ การดูแลรักษาโดยจิตแพทย์อย่างต่อเนื่องเป็นหัวใจสำคัญ ทั้งด้านการใช้ยาและการบำบัดจิตใจ เพื่อควบคุมอาการให้สมดุลและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำรุนแรง โดยสามารถรักษาไบโพลาร์ได้ดังนี้

 

  • การใช้ยา จิตแพทย์จะสั่งจ่ายยาเพื่อปรับสมดุลสารเคมีในสมอง เช่น Mood Stabilizers ยาควบคุมอารมณ์ เช่น Lithium Antidepressants, ยารักษาภาวะซึมเศร้า Antipsychotics หรือยาต้านอาการหลงผิดหรือหวาดระแวง ทั้งนี้ต้องใช้ต่อเนื่องและภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
  • การบำบัดจิต (Psychotherapy) เช่น การบำบัดด้วย Cognitive Behavioral Therapy (CBT) เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจอารมณ์ของตนเอง รับมือกับความเครียด และป้องกันพฤติกรรมที่อาจกระตุ้นอาการไบโพลาร์
  • การปรับพฤติกรรมและวิถีชีวิต เช่น การนอนให้เป็นเวลา หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือการเสพสารเสพติด ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • ติดตามผลอย่างต่อเนื่อง การเข้าพบแพทย์สม่ำเสมอและปรับยาให้เหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็น เพราะอาการอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

 

  • รู้ได้ยังไงว่าเราเป็นไบโพลาร์? สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม

หลายคนอาจรู้สึกว่าตัวเองอารมณ์แปรปรวนง่าย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ขาดสมาธิ หรือจู่ ๆ ก็เศร้าหนักอย่างไม่มีสาเหตุ จนเกิดความสงสัยว่าตนเองกำลังเป็นไบโพลาร์หรือไม่? จริงอยู่ที่อารมณ์ของคนเรามีขึ้นมีลง แต่หากความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นรุนแรงจนกระทบชีวิตประจำวัน อาจเป็นสัญญาณว่าเรากำลังเผชิญกับโรคไบโพลาร์ ซึ่งสามารถวินิจฉัยเบื้องต้นได้ดังนี้

  • มีช่วงเวลาที่อารมณ์ดีเกินปกติ พลังเยอะ พูดเร็ว คิดเร็ว หยุดไม่อยู่ (ช่วง Mania)
  • ตามมาด้วยช่วงที่รู้สึกเศร้า เบื่อชีวิต ขาดแรงจูงใจ นอนไม่หลับหรือนอนมากเกินไป (ช่วง Depression)
  • อารมณ์เปลี่ยนแปลงรวดเร็วโดยไม่มีเหตุผลชัดเจน
  • มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ใช้เงินเกินตัว ขับรถเร็ว มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
  • ขาดสมาธิ ความคิดสับสน วนลูป หรือหลุดโฟกัสง่าย
  • มีความคิดอยากตายหรือทำร้ายตัวเอง

 

  •  ไบโพลาร์ คืออะไร? เข้าใจโรค ก็รักษาได้!

ไบโพลาร์ คือโรคทางอารมณ์ที่ผู้ป่วยมีอารมณ์แปรปรวนอย่างรุนแรง สลับระหว่างอารมณ์ดีผิดปกติและอารมณ์ซึมเศร้า หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ การทำงาน และคุณภาพชีวิตในหลาย ๆ ด้าน อย่างไรก็ตาม ไบโพลาร์เป็นโรคที่สามารถควบคุมอาการได้หากได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง

หากกำลังสงสัยว่าอาจมีอาการของไบโพลาร์หรือมีปัญหาด้านจิตใจอื่น ๆ  สามารถขอคำปรึกษากับจิตแพทย์ผ่านแอป BeDee แพลตฟอร์มดูแลสุขภาพและให้คำปรึกษาออนไลน์ ช่วยดูแลในทุก ๆ ขั้นตอนด้วยบริการพบจิตแพทย์ออนไลน์แบบส่วนตัว ปรึกษาได้ทุกที่ พร้อมช่วยให้เข้าใจอารมณ์ของตัวเองมากขึ้นและใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ ดาวน์โหลดแอป BeDee ได้แล้ววันนี้!