- 05 ส.ค. 2568
สรุปกฎหมายค้ำประกันใหม่ 2558 ที่ผู้ค้ำประกันต้องรู้ อธิบาย 3 การเปลี่ยนแปลงสำคัญที่ช่วยจำกัดความรับผิดชอบของคุณ อ่านก่อนตัดสินใจค้ำประกัน
การเซ็นค้ำประกันเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้การขอสินเชื่อได้รับการอนุมัติง่ายขึ้น แต่ในขณะเดียวกันผู้เซ็นค้ำประกันก็มีความเสี่ยง ในกรณีที่ผู้กู้ไม่สามารถชำระหนี้สินได้ตามสัญญาจะต้องมีส่วนในการรับผิดชอบภาระหนี้สินนั้นแทนผู้กู้ เพื่อสร้างความเป็นธรรม และลดความเสี่ยงให้กับผู้ค้ำประกัน จึงได้มีการปรับปรุงกฎหมายให้ความเป็นธรรมกับผู้ค้ำประกันมากขึ้น โดยบทความนี้ได้สรุป 3 หัวใจหลักจากกฎหมายค้ำประกันฉบับใหม่ ที่ทุกคนควรทำความเข้าใจให้ดี ก่อนตัดสินใจลงลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกันให้ใคร !
- 3 หัวใจสำคัญของกฎหมายค้ำประกันฉบับใหม่ ที่ผู้ค้ำต้องรู้
เพื่อให้การช่วยเหลือคนใกล้ชิดเป็นไปอย่างสบายใจ ลองมาทำความเข้าใจ 3 หลักการสำคัญที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งช่วยเพิ่มเกราะป้องกันและให้ความเป็นธรรมกับผู้ค้ำประกันมากขึ้น
- 1. จำกัดวงเงินและความรับผิดชอบได้ ไม่ต้องแบกรับทั้งหมด
หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดของกฎหมายใหม่คือ การเปิดโอกาสให้ผู้ค้ำประกันสามารถระบุ “วงเงินสูงสุด” ที่ตนจะรับผิดชอบ และ “ระยะเวลาในการค้ำประกัน” ไว้ในสัญญาได้อย่างชัดเจน ซึ่งหมายความว่า ความรับผิดของผู้ค้ำประกันในกฎหมายใหม่ จะไม่ถูกผูกมัดให้ต้องรับผิดชอบหนี้สินทั้งหมดเหมือนกับลูกหนี้ทุกประการอีกต่อไป เช่น ดอกเบี้ยหรือค่าเสียหายที่เกิดจากการผิดนัดของลูกหนี้ ดังนั้นก่อนการเซ็นสัญญา ควรกำหนดเพดานความรับผิดชอบให้ดีเพื่อป้องกันภาระที่อาจบานปลาย
- 2. เจ้าหนี้ต้องไล่เบี้ยกับลูกหนี้ให้ถึงที่สุดก่อน
กฎหมายใหม่ได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า เมื่อลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ เจ้าหนี้จะต้องดำเนินการติดตามทวงถามหนี้จาก “ลูกหนี้โดยตรง” ให้ถึงที่สุดก่อน ไม่สามารถข้ามขั้นตอนมาเรียกเก็บหนี้จากผู้ค้ำประกันได้ทันทีเหมือนในอดีต หลักการนี้ทำให้สถานะของผู้ค้ำประกันเปรียบเสมือนเป็น “ทางเลือกสุดท้าย” ไม่ใช่ “เป้าหมายแรก” ของเจ้าหนี้ ซึ่งช่วยลดแรงกดดัน และให้ความเป็นธรรมกับผู้ค้ำประกันได้อย่างมาก
- 3. เจ้าหนี้ต้องแจ้งผู้ค้ำประกันภายใน 60 วันเมื่อลูกหนี้ผิดนัด
เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ค้ำประกันต้องตกใจกับภาระหนี้ที่ไม่เคยรู้มาก่อน กฎหมายได้กำหนดให้เจ้าหนี้มีหน้าที่ต้องส่งหนังสือแจ้งไปยังผู้ค้ำประกันภายใน 60 วัน นับตั้งแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ ข้อกำหนดนี้มีประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะช่วยให้ผู้ค้ำประกันรับรู้สถานการณ์ได้ทันท่วงที มีเวลาในการติดต่อพูดคุยกับลูกหนี้ หรือเตรียมความพร้อมทางการเงินได้ล่วงหน้า ไม่ต้องเผชิญกับปัญหาหนี้ที่พอกพูนขึ้นโดยไม่รู้ตัว
โดยสรุปแล้ว การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ความรับผิดชอบของผู้ค้ำประกันในกฎหมายใหม่ ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งก่อนตัดสินใจช่วยเหลือใครด้วยการค้ำประกัน การเปลี่ยนแปลงทั้ง 3 ข้อ ทั้งการจำกัดวงเงินความรับผิดชอบ การที่เจ้าหนี้ต้องไล่เบี้ยกับลูกหนี้ก่อน และเงื่อนไขการแจ้งเตือนภายใน 60 วัน ล้วนเป็นเกราะป้องกันที่ช่วยสร้างความเป็นธรรมให้ผู้ค้ำประกันมากขึ้น แม้กฎหมายจะให้ความคุ้มครอง แต่สิ่งที่ดีที่สุดยังคงเป็นการพิจารณาความพร้อมและความน่าเชื่อถือของลูกหนี้อย่างรอบคอบ เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างสบายใจ และไม่สร้างปัญหาให้ตัวเองในอนาคต
ที่มา : Plearn เพลิน By Krungsri GURU






