"โฉนดต้นยาง"สร้างรายได้สู้โลกร้อน ด้วยคาร์บอนเครดิต

โฉนดต้นยางพารา กับโครงการคาร์บอนเครดิตการยางแห่งประเทศไทย ช่วยสร้างรายได้เพิ่ม-แก้ปัญหาโลกร้อน ยกระดับภาพลักษณ์ของยางพาราไทยในตลาดโลก

ในขณะที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตโลกร้อนอย่างหนัก แต่การแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมสำหรับการแก้ไขวิกฤตการณ์ก๊าซเรือนกระจก ยังไม่เห็นเป็นรูปธรรม ซึ่งในที่นี้ จะมากล่าวถึงอีกหนึ่งบทบาทอันน่าทึ่งของ โฉนดต้นยางพารา เชื่อมโยงกับการเข้าร่วมโครงการคาร์บอนเครดิต เปลี่ยนต้นยางจากพืชเศรษฐกิจธรรมดาให้กลายเป็นสินทรัพย์ทางสิ่งแวดล้อมที่สร้างรายได้ให้เกษตรกรและช่วยโลกไปพร้อมๆ กัน

"โฉนดต้นยาง"สร้างรายได้สู้โลกร้อน ด้วยคาร์บอนเครดิต

โครงการนี้ จะได้รับเงินสนับสนุนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 2,750 บาทต่อไร่ ตลอดระยะเวลา 7 ปีที่เข้าร่วมโครงการเพิ่มมูลค่าต้นยาง ต้นยางพาราจะกลายเป็นสินทรัพย์ทางสิ่งแวดล้อมที่สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตได้ เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาโลกร้อน จะสร้างความมีส่วนร่วมโดยตรงในการลดก๊าซเรือนกระจกและบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ลดต้นทุนการผลิต การดูแลสวนยางให้กักเก็บคาร์บอนได้ดี อาจส่งผลดีต่อการจัดการสวนในภาพรวม และอาจลดการพึ่งพาสารเคมีบางชนิดได้ ส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดี การทำการเกษตรกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของยางพาราไทยในตลาดโลก


และช่วยเป็นทางออกให้กับพ่อแม่พี่น้องเกษตรกรชาวสวนยาง นอกจากว่าจะช่วยลดโลกร้อนได้แล้ว ยังสามารถแปรเปลี่ยนเป็นมูลค่าได้อีกด้วย 

"โฉนดต้นยาง"สร้างรายได้สู้โลกร้อน ด้วยคาร์บอนเครดิต

โดย นายจิรวิทย์ มีชูภัณฑ์ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมและพัฒนาการผลิต การยางแห่งประเทศไทยกล่าวถึงการบริหารจัดการเรื่องของการทำคาร์บอนเครดิตในสวนยางพาราที่ขึ้นทะเบียนไว้กับการยางแห่งประเทศไทย ซึ่ง ณ ขณะนี้ การขึ้นทะเบียนก็มีประมาณ 20 ล้านไร่ แต่พื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้อง สามารถเข้าสู่กระบวนการทำคาร์บอนเครดิตได้เลย  มีอยู่ประมาณ 15 ล้านไร่เศษ 

"โฉนดต้นยาง"สร้างรายได้สู้โลกร้อน ด้วยคาร์บอนเครดิต
ซึ่งวิธีการของการทำคาร์บอนเครดิต  หน่วยงานที่ดูแลเรื่องนี้ก็คือ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก หรือ อบก. ซึ่งเขาก็เป็นหน่วยงานกลางที่จะดูแลในการบริหารจัดการเรื่องนี้สำหรับหน่วยงานต่างๆ ที่จะเข้าพัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิต


 
เป้าหมายของการยาง และแผนการจัดการคาร์บอนเครดิต  ในระยะสั้น  ก็คือปี 2570  มีการตั้งเป้าไว้ว่าเราจะทำให้ได้ 1 ล้านไร่  แล้วก็ในระยะกลางในปี 2573 จะขยายพื้นที่ให้ได้ไม่น้อยกว่า 10 ล้านไร่ แล้วก็ไปสู่ระยะยาว อันนี้ก็เป็นไปตามโร้ดแมปของประเทศไทย ที่จะสู่เข้าสู่  Carbon Neutrality หรือ ความเป็นกลางทางคาร์บอน ในปี 2593  จะทำให้ครอบคลุมทั้งสวนยางที่ขึ้นทะเบียนกับการยางแห่งประเทศไทย


การทำโฉนดต้นยาง  จะมีพิกัดแต่ละต้น ใช้เรดาร์ ใช้ดาวเทียมเข้ามา ใช้นวัตกรรมเรื่องของการจัดการโฉนดต้นยางอย่างแม่นยำ เพราะฉะนั้น นวัตกรรมนี้ มันอาจจะส่งผลไปถึงการตีมูลค่าหรือว่าตีค่าของเนื้อไม้แต่ละต้นได้เลย
  "โฉนดต้นยาง"สร้างรายได้สู้โลกร้อน ด้วยคาร์บอนเครดิต
 
คุณสมบัติผู้สมัครเข้าร่วมโครงการคาร์บอนเครดิตของการยางแห่งประเทศไทย


1.ต้องเป็นเกษตรกรชาวสวนยางที่ขึ้นทะเบียนตามพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558


2.มีสวนยาง ตั้งอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของการยางแห่งประเทศไทย (RAOT)


3.สวนยางต้องมีหนังสือแสดงสิทธิ์การใช้ประโยชน์ที่ดินตามกฎหมายและไม่ใช่พื้นที่เสี่ยงต่อภัยดินถล่ม โดยมีความลาดชันของพื้นที่น้อยกว่า 35 องศา


4.ต้นยางต้องมีอายุตั้งแต่ 1 ถึง 18 ปี


5.เมื่อสวนยางได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการ จะต้องไม่โค่นต้นยางและไม่ตัดพืชเกษตรที่ปลูกในสวนยาง ตามอายุโครงการเป็นเวลา 7 ปี


6.สวนยางที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการ จะต้องไม่ทับซ้อนกับ โครงการลดก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ ที่ได้รับการรับรองแล้ว

 

โฉนดต้นยางพาราจึงเป็นเครื่องมือช่วยยืนยันสิทธิ์และมูลค่าของต้นยางแต่ละต้นในเชิงสิ่งแวดล้อม ทำให้สามารถเข้าร่วมโครงการคาร์บอนเครดิตได้อย่างเป็นทางการ นี่ไม่ใช่การปลูกพืชเพื่อผลผลิตอีกต่อไป แต่เป็นการสร้างรายได้และสร้างโลกที่ยั่งยืนไปพร้อมกัน