วิเคราะห์ร่างกายด้วย InBody รู้สัดส่วนไขมัน-กล้ามเนื้อ ก่อนเริ่มลดน้ำหนักจริง

วิเคราะห์ร่างกายด้วย InBody รู้สัดส่วนไขมัน-กล้ามเนื้อ ก่อนเริ่มลดน้ำหนักจริง เข้าใจกลไกการทำงานของร่างกายเรา สัดส่วนสมดุลหรือไม่

การลดน้ำหนักหรือปรับรูปร่างให้ชัดเจนและยั่งยืน ดีต่อสุขภาพร่างกาย ไม่ได้หมายถึงแค่ “ลดตัวเลขบนตาชั่ง” ให้น้อยลง แต่คือการเข้าใจกลไกการทำงานของร่างกายเราจริงๆ ว่า “กล้ามเนื้ออยู่ตรงไหน ไขมันมีปริมาณมากเท่าไร สัดส่วนสมดุลหรือไม่” ด้วยเครื่องมือตรวจวิเคราะห์องค์ประกอบของร่างกายหรือที่เรียกว่า “InBody” ซึ่งจุดเด่นของเครื่องมือนี้ คือ สามารถวิเคราะห์ร่างกายเราได้อย่างครอบคลุมทั้งมวลกล้ามเนื้อ ไขมัน สัดส่วน น้ำ และมวลกระดูก มีความแม่นยำสูงกว่าการชั่งน้ำหนักด้วยเครื่องทั่วไป ทำให้เราวางแผนการลดน้ำหนัก หรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้านสุขภาพของตนเองได้เหมาะสมมากขึ้น สำหรับใครที่วางแผนลดน้ำหนักอยู่ อยากลดน้ำหนัก สัดส่วนแบบเห็นผลชัดเจนมากขึ้น ลองมาทำความรู้จัก InBody ไปพร้อมกันในบทความนี้ได้เลย  

วิเคราะห์ร่างกายด้วย InBody รู้สัดส่วนไขมัน-กล้ามเนื้อ ก่อนเริ่มลดน้ำหนักจริง
 

InBody คืออะไร? วิเคราะห์อะไรได้บ้าง

การตรวจสอบ InBody คือการวิเคราะห์องค์ประกอบของร่างกาย (Body Composition Analyzer) โดยใช้หลักการ Bioelectrical Impedance Analysis (BIA) ซึ่งจะส่งกระแสไฟฟ้าความเข้มต่ำผ่านร่างกายเพื่อประเมินองค์ประกอบต่างๆ เช่น ปริมาณกล้ามเนื้อ ไขมัน น้ำ เกลือแร่ และมวลกระดูก จำแนกผ่านการอาศัยหลักการ “ไขมันนำไฟฟ้าได้ไม่ดี ส่วนกล้ามเนื้อนำไฟฟ้าได้ดี” ทำให้เครื่องสามารถคำนวณข้อมูลเชิงลึกออกมาเป็นตัวเลขที่แม่นยำ ช่วยให้เรารู้สัดส่วนจริงของร่างกายมากกว่าตาชั่งทั่วไปนั่นเอง


ขั้นตอนการตรวจ InBody ง่าย ปลอดภัย ใช้เวลาไม่นาน


การตรวจด้วยเครื่อง InBody ใช้เวลาประมาณ 5–10 นาที เท่านั้น และไม่เจ็บ ไม่อันตราย ไม่ต้องงดน้ำ งดอาหารก่อนตรวจ โดยมีขั้นตอนดังนี้

1. ยืนบนเครื่องด้วยเท้าเปล่า ไม่สวมรองเท้า ถุงเท้า หรือเครื่องประดับ
2. เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูลพื้นฐาน เช่น อายุ ส่วนสูง น้ำหนัก
3. ใช้มือทั้งสองจับราวจับของเครื่อง และยืนนิ่งประมาณ 5 นาที
4. เครื่องจะวิเคราะห์องค์ประกอบร่างกายอัตโนมัติ
5. แพทย์แปลผลและให้คำแนะนำเพื่อวางแผนสุขภาพ


ค่าที่ควรรู้หลังตรวจ InBody
1. ดัชนีมวลกาย (BMI) เป็นค่าที่ใช้ประเมินเบื้องต้นว่าน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์เหมาะสมหรือไม่ แต่แพทย์จะไม่นำมาฟันธงโดยลำพัง เพราะคนที่มีกล้ามเนื้อเยอะอาจมี BMI สูงได้ แม้จะไม่ได้อ้วน จึงต้องดูร่วมกับค่ากล้ามเนื้อและไขมันจาก InBody เพื่อวิเคราะห์สุขภาพที่แท้จริง

2. อัตราส่วนเอวต่อสะโพก (WHR) ค่า WHR ใช้ตรวจภาวะ “อ้วนลงพุง” ซึ่งมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและเบาหวาน ผู้ชายควรต่ำกว่า 0.9 และผู้หญิงควรต่ำกว่า 0.85 หากเกินกว่านี้แปลว่ามีไขมันสะสมบริเวณท้องมากกว่าปกติ ควรเร่งปรับพฤติกรรมอาหารและออกกำลังกายเพื่อลดความเสี่ยง

3. ปริมาณน้ำในร่างกาย (Total Body Water) ค่านี้บอกว่าร่างกายมีปริมาณน้ำในเซลล์และนอกเซลล์สมดุลหรือไม่ ช่วยกำหนดปริมาณน้ำที่ควรดื่มในแต่ละวัน หากน้ำในร่างกายน้อยหรือมากเกินไป อาจกระทบต่อพลังงาน ความสดชื่น และสภาพสุขภาพโดยรวม

4. อาการบวมน้ำ (Edema) เป็นค่าที่ใช้ดูว่าร่างกายกักเก็บน้ำผิดปกติหรือไม่ หากมีอาการบวมน้ำ อาจเกี่ยวข้องกับการกินเค็มมากเกินไปหรือภาวะสุขภาพบางอย่าง แพทย์อาจแนะนำให้ลดอาหารโซเดียมสูงและปรับโภชนาการเพื่อให้ร่างกายสมดุลขึ้น

5. ปริมาณโปรตีนและแร่ธาตุในร่างกาย โปรตีนและแร่ธาตุสะท้อนระดับโภชนาการและความแข็งแรงของร่างกาย หากต่ำเกินไป อาจหมายถึงร่างกายขาดสารอาหาร ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือภูมิคุ้มกันต่ำ แพทย์จึงใช้ค่านี้แนะนำอาหารที่เหมาะสมในชีวิตประจำวันได้ชัดเจนขึ้น

6. ปริมาณกล้ามเนื้อ (Skeletal Muscle Mass) ยิ่งมีกล้ามเนื้อเยอะ ร่างกายยิ่งเผาผลาญดี ทำให้น้ำหนักลดง่ายและรูปร่างกระชับ ค่านี้ยังสำคัญกับผู้สูงอายุที่เสี่ยงกล้ามเนื้อสลาย เพราะช่วยให้รู้ว่าต้องเสริมการออกกำลังกายหรือรับโปรตีนเพิ่มหรือไม่

7. สมดุลกล้ามเนื้อแขน ขา ลำตัว เผยให้เห็นว่ากล้ามเนื้อของแต่ละส่วนสมดุลกันหรือไม่ เช่น แขนซ้ายอ่อนกว่าแขนขวา หรือขาข้างหนึ่งใช้มากเกินไป เป็นข้อมูลสำคัญสำหรับออกกำลังกายแก้ไขความไม่สมดุล ลดโอกาสบาดเจ็บ และทำให้ร่างกายแข็งแรงเท่ากันทั้งสองข้าง

8. มวลไขมันในร่างกาย (Body Fat Mass) ช่วยบอกว่าร่างกายมีไขมันสะสมมากน้อยแค่ไหน ซึ่งมีผลต่อความเสี่ยงโรคอ้วน ไขมันพอกตับ และโรคหัวใจ ค่านี้ทำให้รู้ว่าการลดน้ำหนักได้ผลไหม เพราะการลดน้ำหนักที่ดีคือ “ไขมันลด” ไม่ใช่ “กล้ามเนื้อลด”

9. เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย (Body Fat %) ค่าปกติของผู้ชายอยู่ที่ 10–20% และผู้หญิงอยู่ที่ 18–28% หากเปอร์เซ็นต์ไขมันสูงเกินไป เสี่ยงโรคหลายชนิด และถ้าต่ำเกินไปก็ไม่ดีต่อฮอร์โมนและสุขภาพ นอกจากนี้ คนที่อยากเห็นซิกซ์แพ็กชัดเจนต้องมีไขมันประมาณ 12% หรือต่ำกว่า

10. ไขมันช่องท้อง (Visceral Fat Area) เป็นไขมันอันตรายที่สุด เพราะอยู่รอบอวัยวะภายใน ค่าที่เหมาะสมไม่ควรเกิน 100 cm² หากมากกว่านี้จะเพิ่มความเสี่ยงเบาหวาน หลอดเลือดหัวใจ และโรคอักเสบเรื้อรัง การรู้ค่าตัวนี้ช่วยให้ปรับอาหารและการออกกำลังกายได้อย่างตรงจุดเพื่อลดความเสี่ยงระยะยาว


InBody กับการวางแผนการลดน้ำหนัก ลดสัดส่วนให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจน 
เคยสงสัยไหม ทำไมบางคนน้ำหนักเท่ากัน แต่รูปร่างไม่เหมือนกัน บางคนน้ำหนักบนตัวชั่งน้อยน้อย รูปร่างดูผอม แต่กลับมีพุง ในขณะที่บางคนน้ำหนักตัวมากกว่า แต่รูปร่างกลับดูเฟิร์มกระชับ เห็นส่วนเว้าโค้งชัดเจน? คำถามเหล่านี้ ตอบได้ด้วย Inbody เพราะ Inbody สามารถวิเคราะห์ และประเมินองค์ประกอบต่างๆ ออกมาได้อย่างครบถ้วน ทั้งไขมัน กล้ามเนื้อ มวลกระดูก นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญว่า ทำไมต้องตรวจ InBody ก่อนเริ่มลดน้ำหนัก เอาล่ะ ลองมาดูว่า InBody ช่วยในารวางแผนการลดน้ำหนักได้อย่างไร 

1) InBody ช่วยให้ทราบว่าควรลดไขมัน VS เพิ่มกล้ามเนื้อ อย่างที่บอกไปว่า Inbody สามารถวิเคราะห์ และประเมินองค์ประกอบต่างๆ ออกมาได้อย่างครบถ้วน ฉะนั้นหากอยากลดน้ำหนักให้ตัวเลขบนตาชั่งลดลง ไปพร้อมๆ กับการเสริมความแข็งแรงให้ร่างกาย เราจะต้องโฟกัสที่ลด % ไขมัน และเพิ่ม % กล้ามเนื้อ โดย เครื่องมือ InBody จะประเมินให้เราทราบ Body Type ของตนเอง เช่น แสดงออกมาเป็นกราฟที่แสดงมวลกล้ามเนื้อและไขมันเทียบกับค่ามาตรฐาน (มักจะแสดงเป็นรูปตัว C, I, D) ได้แก่ 

รูปตัว C: มักบ่งบอกว่ามวลกล้ามเนื้อต่ำกว่าเกณฑ์ และไขมันสูงกว่าเกณฑ์ (ควรลดไขมันและเพิ่มกล้ามเนื้ออย่างมาก)
รูปตัว I: มักบ่งบอกว่ามวลกล้ามเนื้อและไขมันอยู่ในเกณฑ์สมดุล (อาจต้องการรักษาสภาพหรือค่อยๆ เพิ่มกล้ามเนื้อ)
รูปตัว D: มักบ่งบอกว่ามวลกล้ามเนื้อสูงกว่าเกณฑ์ และไขมันอยู่ในระดับปกติหรือต่ำกว่า (นักกีฬา หรือผู้ที่ออกกำลังกายสร้างกล้ามเนื้อสม่ำเสมอ)

 

2) ช่วยประเมินไขมันช่องท้องได้ตรงจุด นอกจากจะบอก % ไขมันโดยรวมแล้ว ยังช่วยตรวจไขมันเฉพาะส่วนได้ด้วย อย่างไขมันช่องท้องที่สัมพันธ์กับเบาหวานและโรคหัวใจ ทำให้วางแผนดูแลสุขภาพได้เหมาะสมมากขึ้น 


3) เลือกวิธีลดน้ำหนักได้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เมื่อรู้สภาพร่างกายที่แท้จริง ก็ช่วยวางแผนโภชนาการและการออกกำลังกายได้อย่างเหมาะสม อย่างเช่นกลุ่มที่ต้องการลดน้ำหนัก ลด % ไขมัน อาจต้องโฟกัสที่การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เผาผลาญแคลอรีให้มากขึ้น กลุ่มที่ต้องการเสริมความกล้ามเนื้อให้แข็งแรง กระชับสัดส่วน อาจต้องโฟกัสที่การออกกำลังกายแบบเวตเทรนนิง ยกน้ำหนัก ในด้านโภชนาการก็ช่วยให้เราเลือกทานอาหารได้อย่างเหมาะสม ควบคุมแคลอรี หรือการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก เสริมโปรตีน แร่ธาตุที่จำเป็นกับร่างกายด้วย  


4) ช่วยติดตามผลลัพธ์อย่างแม่นยำ ไม่โยโย่เอฟเฟ็กต์ เราสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงว่า “ไขมันลด” หรือ “กล้ามเนื้อเพิ่ม” ทำให้รู้ว่าการลดน้ำหนักได้ผลจริงหรือไม่ และลดโอกาสการเกิดโยโย่เอฟเฟ็กต์ หากเราบาลานซ์พฤติกรรมการออกกำลังกาย การทานอาหารได้อย่างเหมาะสม 

5) เสริมความมั่นใจในการดูแลสุขภาพ สุขภาพดีอย่างยั่งยืน 
เมื่อมีข้อมูลชัดเจน วางแผนเป้าหมายได้เหมาะสม การลดน้ำหนักจะมีแรงจูงใจมากขึ้น เพราะเห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละครั้งที่ตรวจค่า InBody ทำให้เราไม่ท้อในการลดน้ำหนัก มั่นใจในการดูแลสุขภาพ สุขภาพดีอย่างยั่งยืนเลย 

การตรวจ InBody เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เข้าใจสุขภาพภายในของร่างกายอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นระดับไขมัน กล้ามเนื้อ น้ำ และองค์ประกอบต่างๆ ที่ตัวเลขบนตาชั่งไม่สามารถบอกได้ การตรวจเพียงไม่กี่นาทีทำให้เห็นภาพชัดว่าเป้าหมายในการลดน้ำหนักควรไปในทิศทางใด ช่วยให้การวางแผนควบคุมน้ำหนักมีประสิทธิภาพมากขึ้น และในกรณีที่มีการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักควบคู่กัน ข้อมูลจาก InBody ก็จะช่วยให้เราเลือกทานได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัยขึ้น เพราะรู้ว่าร่างกายต้องการอะไร ควรเสริมส่วนไหน และควรติดตามผลอย่างไร ทำให้การลดน้ำหนักเห็นผลเร็วขึ้นอย่างมีระบบและดีต่อสุขภาพในระยะยาว