เห็นตนเองเกิดเป็นสุนัข!! ภาพแห่งความสลดใจที่ทำให้หลวงปู่มั่นต้องหยุดปรารถนาในการเป็นพระพุทธเจ้า!!

รู้จริง... รู้แจ้ง... ทุกเรื่องราวพระอริยสงฆ์ http://panyayan.tnews.co.th

เห็นตนเองเกิดเป็นสุนัข!! ภาพแห่งความสลดใจที่ทำให้หลวงปู่มั่นต้องหยุดปรารถนาในการเป็นพระพุทธเจ้า!!

เห็นตนเองเกิดเป็นสุนัข!! ภาพแห่งความสลดใจที่ทำให้หลวงปู่มั่นต้องหยุดปรารถนาในการเป็นพระพุทธเจ้า!!

"หลวงปู่มั่น" ท่านได้อธิษฐานจิต "หยุดการปรารถนาพระโพธิญาณ" ตั้งใจแน่วแน่ที่จะขอ "บรรลุธรรม" ในชาติปัจจุบัน

ริมปากเหวเหมาะที่สุดที่จะนั่งบำเพ็ญเพียร “หากจะตายขอตายตรงนี้ ขอให้ร่างกายหล่นลงไปในเหวนี้ จะได้ไม่ต้องเป็นที่วุ่นวายเดือดร้อนแก่ใครๆ ”

“ถ้าไม่รู้แจ้งเห็นจริงในธรรม ก็จะไม่ลุกจากที่นั่งนี้เป็นอันขาด”

ท่านนั่งสมาธิอยู่ ณ จุดนั้นติดต่อกันเป็นเวลา ๓ วัน ๓ คืนโดยไม่ขยับเขยื้อนและไม่ลืมตาเลย

เกิดการสว่างไสวดุจกลางวัน ความผ่องใสของจิตสามารถเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามต้องการ แม้จะกำหนดดูเม็ดทรายก็เห็นได้อย่างชัดเจนทุกเม็ด แม้จะพิจารณาดูทุกอย่างที่ผ่านมา ก็แจ้งประจักษ์ขึ้นในปัจจุบันหมด

ในขณะที่จิตของท่านดำเนินไปอย่างได้ผล ก็ปรากฏเห็นเป็นลูกสุนัขกำลังกินนมแม่ท่านพิจารณาใคร่ครวญดู ว่า ทำไม ? จึงเกิดมีนิมิตมาปน ทั้งๆ ที่ "จิต" ของท่าน "เลยขั้นที่จะนิมิตแล้ว"เมื่อกำหนดจิตพิจารณาก็เกิดญาณรู้ขึ้นว่า “ลูกสุนัข" นั้นก็คือตัวเราเอง เราเคยเกิดเป็นสุนัขอยู่ตรงนี้มานับอัตภาพไม่ถ้วน เวียนเกิดเวียนตายเป็นสุนัขอยู่หลายชาติเมื่อตรวจสอบดูก็พบความจริงที่ท่านไม่เคยทราบมาก่อน นั่นคือ“การปรารถนาพระสัมมาสัมโพธิญาณ” ของท่าน โอ ! แล้วจะต้อง "เวียนตายเวียนเกิด" ไปอีก "กี่หมื่นกี่แสนชาติ" จึงจะถึง คิว ได้เป็น "พระพุทธเจ้า"สมความปรารถนา

 

ท่านรู้สึก "สลดใจ" ที่เคยเกิดเป็นสุนัขนับอัตภาพไม่ถ้วน และยังจะต้องเวียนวายตายเกิดเพื่อสร้างบารมีต่อไปอีกนานแสนนานท่านจึงได้ "อธิษฐานจิต" หยุดการ "ปรารถนาพระโพธิญาณ" ตั้งใจแน่วแน่ที่จะ "ขอบรรลุธรรม" ในชาติปัจจุบัน

ต่อจากนั้น หลวงปู่มั่น ได้พิจารณาธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ จึงระลึกได้ว่า "ธัมมจักกัปปวัตนสูตร" ทรงแสดงถึง "อริยสัจ ๔" คือ "ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค" และทรงย้ำว่า

ปริเญยฺยนฺ เม ภิกฺขเว ทุกข์พึงกำหนดรู้                ปริญาตนฺ เม ภิกฺขเว เราได้กำหนดรู้แล้ว

ปหาตพฺพนฺติ เม ภิกฺขเว สมุทัยควรละ                 ปหีนนฺติ เม ภิกฺขเว เราได้ละแล้ว สทฺฉกาตพฺพนฺติ เม ภิกฺขเว นิโรธควรทำให้แจ้ง

เราทำให้แจ้งแล้ว ภาเวตพฺพนฺติ เม ภิกฺขเว          มรรคควรเจริญให้มาก ภาวิตนฺติ เม ภิกฺขเว เราก็เจริญให้มากแล้ว

คราวนี้ “จิตรวมใหญ่” เกิดมี “ญาณ” ญาณชนิดนี้เรียกว่า "อาสวักขยญาณ"คือความรู้ว่า "ความสิ้นไปแห่งอาสวะ"

พร้อมกับ "อวิชชา" ก็หายไป ไม่ก่อนไม่หลัง

"ตะวันขึ้นมาและเดือนก็ตกไป"

รวมความว่า “ญาณ” เกิดขึ้น “อวิชชา” หายไป "พระอาทิตย์ขึ้นมา พระจันทร์ตกไป “อปุพพํอจิรมํ” ไม่ก่อนไม่หลัง

 

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต