ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th

นี่แหละพระแท้!! จริยวัตรในพระสังฆราชองค์ที่๑๓ พระราชอุปัชฌยาจารย์ในหลวงร.๙ ทรงเรียบง่ายและสมถะ รับนิมนต์ชาวบ้านเสมอ อย่างไม่ถือพระองค์เลย

 

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๘ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ทรงดำรงตำแหน่งอยู่ ๑๔ พรรษา พระองค์ได้เป็นพระราชอุปัชฌยาจารย์เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อครั้งทรงผนวชในปี พ.ศ. ๒๔๙๙

นี่แหละพระแท้!! จริยวัตรในพระสังฆราชองค์ที่๑๓ พระราชอุปัชฌยาจารย์ในหลวงร.๙ ทรงเรียบง่ายและสมถะ รับนิมนต์ชาวบ้านเสมอ อย่างไม่ถือพระองค์เลย

นี่แหละพระแท้!! จริยวัตรในพระสังฆราชองค์ที่๑๓ พระราชอุปัชฌยาจารย์ในหลวงร.๙ ทรงเรียบง่ายและสมถะ รับนิมนต์ชาวบ้านเสมอ อย่างไม่ถือพระองค์เลย

 

และเป็นผู้ถวายพระนามแก่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๑๐ ว่า "สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ บรมจักรยาดิศรสันตติวงศ เทเวศรธำรงสุบริบาล อภิคุณูประการมหิตลาดุลเดช ภูมิพลนเรศวรางกูร กิตติสิริสมบูรณสวางควัฒน์ บรมขัตติยราชกุมาร คชนาม" สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๑ สิริพระชนมายุ ๘๖ พรรษา

 

โดยท่านพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ได้เล่าถึงพระจริยวัตรอันงดงามของพระองค์ท่านผ่าน ดังนี้ ..

นี่แหละพระแท้!! จริยวัตรในพระสังฆราชองค์ที่๑๓ พระราชอุปัชฌยาจารย์ในหลวงร.๙ ทรงเรียบง่ายและสมถะ รับนิมนต์ชาวบ้านเสมอ อย่างไม่ถือพระองค์เลย

 

สมเด็จพระสังฆราชเจ้าองค์สุดท้ายของกรุงรัตนโกสินทร์ คือ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์  พระนามเดิมคือ ม.ร.ว. ชื่น นพวงศ์  ประสูติในต้นสมัยรัชกาลที่ ๕  และบรรพชาเป็นสามเณรตั้งแต่อายุ ๑๓ ปี หลังจากนั้นก็ทรงครองเพศบรรพชิตสืบมา จนได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชเมื่อทรงมีพระชนมายุ ๗๓ พรรษา  เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกผนวชในปี ๒๔๙๙ พระองค์ได้ทรงเป็นพระราชอุปัธยาจารย์ (อุปัชฌาย์) ก่อนที่จะสิ้นพระชนม์สองปีถัดมา

 

แม้ว่าพระองค์ทรงมีชาติตระกูลอันสูง  อีกทั้งทรงดำรงตำแหน่งประมุขสงฆ์  แต่พระองค์ทรงมีชีวิตอย่างเรียบง่าย สมถะ  มีเมตตาและเป็นกันเองอย่างยิ่ง  ไม่เฉพาะกับผู้คน แต่ยังรวมถึงสรรพสัตว์ด้วย  เป็นที่รู้กันดีว่าเมื่อได้เวลาฉัน พระองค์จะเสด็จไปประทับที่ห้องเล็ก นั่งกับพื้น หันหลังพิงฝา  ระหว่างที่ฉันก็จะหยิบข้าวสุกทีละเมล็ดจิ้มกับข้าว แล้วเอาติดไว้ที่ฝาเบื้องหลัง   แล้วเอานิ้วเคาะที่ฝาเบา ๆ ครั้งสองครั้ง  จิ้งจกก็จะวิ่งออกมากิน  บางตัวก็รู้เวลา ออกมาคอย  และกินอาหารจากพระหัตถ์ของพระองค์เลยทีเดียว ว่ากันว่าพระองค์ทรงรู้จักจิ้งจกทุกตัวในกุฏิ

พระองค์ยังทรงเป็นที่ขึ้นชื่อในเรื่องความเป็นกันเอง ไม่ถือพระองค์ อีกทั้งไม่มีพิธีรีตอง คราวหนึ่งพระองค์เสด็จไปงานบุญที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดลพบุรี  ชาวบ้านที่มาทำบุญไม่รู้จักพระองค์ ก็เรียกพระองค์ว่าหลวงตา  พระองค์ก็ตอบรับ สนทนากับชาวบ้านทั้งวันอย่างสนุกและสบายใจ

 

บางครั้งพระองค์หายไปจากวัดบวรนิเวศ เป็นเวลานาน  พระผู้ใหญ่ในวัดตามหากันจนวุ่น ถามใครก็ไม่มีใครรู้ว่าเสด็จออกจากวัดตอนไหน เพราะไม่มีรถหลวงประจำตำแหน่งสังฆราชมารับ   ครั้นราว ๆ เที่ยงเศษ ผู้คนก็โล่งใจเมื่อเห็นพระองค์เดินถือตาลปัตรกลับมาเอง  เพราะทรงรับนิมนต์ชาวบ้านไปสวดมนต์และฉันเพลตามห้องแถวเล็ก ๆ บริเวณเสาชิงช้าหรือบางลำพู   เรื่องแบบนี้เลขานุการประจำพระองค์มักไม่รู้ เพราะใครที่ประสงค์จะมานิมนต์พระองค์ สามารถเข้าถึงพระองค์ได้โดยตรงและง่ายดาย   ส่วนพระองค์ก็มักจดวันเวลาไว้ตามเศษกระดาษบ้าง ห่อใบชาบ้าง สุดแท้แต่ว่ามีอะไรอยู่ใกล้มือ

 

มีเรื่องเล่าว่า  วันที่มีประกาศสถาปนาพระองค์เป็นสมเด็จพระสังฆราชในพระบรมมหาราชวัง ศิษย์วัดกลุ่มหนึ่งที่ตามพระราชาคณะของตนเข้าไปในวัง ได้จับกลุ่มนั่งคุยกันอยู่ข้างนอก  เด็กคนหนึ่งถามขึ้นมาว่า สังฆราชองค์ใหม่ชื่ออะไรโว้ย?”   เด็กในกลุ่มไม่ทันจะตอบ ก็มีเสียงห้าว ๆ ดังมาจากข้างหลังว่า ชื่อชื่นโว้ยเมื่อเด็กหันหลังไปยังต้นเสียง ก็พบว่าผู้ตอบคือพระองค์นั่นเอง

 

ตอนนั้นพระราชพิธีเพิ่งเสร็จ พระองค์จึงเสด็จออกมาตามลูกศิษย์กลับวัด  บังเอิญได้ยินคำถามของเด็ก พระองค์จึงตอบให้ เพราะนามเดิมของพระองค์คือ ม.ร.ว.ชื่น นพวงศ์

 

แม้ทรงมีชาติตระกูลและสมณศักดิ์อันสูงยิ่ง แต่สิ่งเหล่านี้แทบไม่มีความหมายกับพระองค์เลย  จะว่าพระองค์ไม่ไยดีเลยก็ว่าได้ เพราะทรงตระหนักว่ามันเป็นแค่สมมติที่มิควรลุ่มหลง อีกทั้งเป็นโลกธรรมที่ไม่ยั่งยืน  สำหรับพระองค์  การครองตนอย่างสมถะตามวิถีของสมณะ มุ่งลดละกิเลสตามคำสอนของพระพุทธองค์ เป็นสิ่งประเสริฐและสำคัญเหนืออื่นใด

 

 

ที่มา : เหนือโลกธรรม ,พระไพศาล วิสาโล