- 02 ก.ค. 2560
ซาบซึ้ง อิ่มสุข....กับเรื่องเล่าของนักวิชาการ กับในหลวงร.9 และ สมเด็จพระเทพฯ
ในเพจชมรมคนรักในหลวง โดย พระราชวิจิตร ปฏิภาณ วัดสุทัศน์เทพวรารามราชวรมหาวิหาร ได้โพสต์เรื่องราวของอาจารย์สอนวิชาภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์รายหนึ่ง ว่า เมื่อนานหลายปีก่อน มีนักธุรกิจคนหนึ่งไปหาอาตมาที่วัดสุทัศน์ฯ เป็นนักธุรกิจที่ทำงานอยู่กับคุณ เจริญ และ คุณหญิง วรรณา สิริวัฒนภักดี เมื่อพบกัน ท่านผู้นี้ก็แจ้งความประสงค์ของการมาพบ และเล่าเรื่องที่เป็นจุดประสงค์ดังนี้
"ท่านคงพอจะจำผมได้นะครับ เราเคยพบกันที่บ้านของคุณ เจริญ คุณหญิง วรรณา สิริวัฒนภักดี ผมมีเรื่องอยากจะเล่าให้ท่านฟังดังนี้ ว่า เมื่อก่อนผมเป็นครูสอนวิชาภูมิศาสตร์ และ วิชาประวัติศาสตร์ ปกติผมต้องไปค้นคว้าข้อมูลในหอสมุดแห่งชาติ
ต่อมา ก็มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งผูกเปีย2ข้างเข้าไปค้นข้อมูลอย่างจริงจัง ว่างก็สนทนากันถึงเรื่องวิชาการ
อยู่มาวันหนึ่งนักเรียนหญิงคนนั้นก็ชวนผมไปเที่ยวบ้าน โดยบอกว่า จะให้พ่อเลี้ยงข้าวหนึ่งมื้อ ในฐานะที่ให้ความรู้ด้านวิชาการ โดยมีการนัดแนะกันที่พระราชวังดุสิต สวนจิตรลดา โดยเธอบอกว่าเมื่อเข้าประตูที่1แล้วขอให้บอกกับคนที่เฝ้าประตูด้วยคำพูดนี้(เป็นคำเฉพาะ)
ครั้นถึงวันนัดหมาย ผมก็เดินทางไป โดยรถแท็กซี่ เมื่อเข้าประตูผมก๊ไม่ได้สงสัย คงบอกเจ้าหน้าที่ตามนั้น ครั้นถึงชั้นที่2ผมก็บอกตามนั้นอีก เจ้าหน้าที่ก็อัธยาศัยดี ให้ความเคารพผมอย่างยิ่ง
แต่พอถึงขั้นที่3ผมก็เริ่มเห็นภาพชัดเจนว่า แท้ที่จริงเด็กผู้หญิงคนนั้นคือ" สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี"ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้เฉลิมพระยศนี้
.......ท่านครับ พอผมนึกออกก็เริ่มสั่นแล้ว
แต่เหตุที่ผมนึกไม่ออกตั้งแต่แรกนั้น เพราะผมไม่เคยคิดเลยว่า เจ้าฟ้าฯ จะสนพระทัยในวิชาการอย่างจริงจัง เวลาค้นคว้าก็ทรงสืบค้นด้วยพระองค์เองทุกอย่าง ทรงค้นคว้าและจดจำอย่างขมีขมัน โดยมิได้มีข้าราชบริพารเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพระองค์ และเวลาที่ทรงสนทนาก็ให้ความนับถือคู่สนทนา ยิ่งรู้ว่า ผมเป็นครูสอนวิชาดังกล่าว
เมื่อผมรู้ว่า นักเรียนหญิงคนนั้นคือ สมเด็จพระเทพรัตนฯ ผมก็ประหม่า และแล้วรถแท็กซี่ก็ถึงที่นัดพบ สักครู่พระองค์ก็เสด็จฯออกมาแล้วตรัสปฏิสันถาร
ถึงตอนนี้ผมก็ก้มลงกราบกับพื้น และที่ทำให้ผมสั่นยิ่งขึ้น ก็คือ ตอนนีเผมรู้แล้วว่า คุณพ่อของเด็กผู้หญิงคนนี้คือ"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ"
ท่านครับสักครู่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จฯออกมาทรงมีพระพักตร์ที่ยิ้มแย้ม แล้วตรัสว่า "เห็นลูกสาวบอกว่าเป็นเพื่อนกัน"เมื่อพระองค์ตรัสดังนี้ ผมก็ก้มลงกราบด้วยความประหม่าเป็นที่สุด แล้วกราบบังคมทูลว่า "มิเป็นการบังอาจพระพุทธเจ้าข้า"
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่9)ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณตรัสว่า ขอให้ทำตัวตามปกติ ไม่ต้องประหม่า หรือกลัวแต่อย่างใด พระองค์ตรัสขอบใจที่ได้เป็นเพื่อนสนทนาในวิชาการดังกล่าว
จากนั้นพระองค์ก็ตรัสว่า"อันที่จริงก็มีผู้อยากขอเข้าเฝ้าฯเป็นจำนวนมาก บางรายก็ขอนำเงินขึ้นทูลเกล้า แต่เราก็ไม่สามารถจะรับเงินของบางคนได้ เราจะรับเงินของเขาได้อย่างไร ในเมื่อเงินที่เขานำมาถวายเรานั้นเป็นเงินที่เกิดจากการขายแผ่นดินของเรา เราจึงรับเงินนั้นไม่ได้
ถ้าจะถามพระราชาอย่างเรา ว่าพระราชาอย่างเราต้องการอะไร เราก็ขอตอบว่า พระราชาอย่างเราต้องการคนที่ซื่อสัตย์ เพราะ คนที่ซื่อสัตย์คือ สมบัติของพระราชาอย่างเรา"
ท่านครับ ผมก้มลงกราบถวายบังคมพระองค์อีกครั้ง ด้วยความซาบซึ้งน้ำตาไหลในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้แก่ครูสอนหนังสือเล็กๆคนหนึ่ง พระราชดำรัสของพระองค์มีคุณค่ายิ่งต่อชีวิตของผม
จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็พระราชทานเลี้ยงก๋วยเตี๋ยว เป็นอาหารที่ผมรับประทานแล้วอิ่มตลอดชีวิต ท่านครับ จากวันนั้นมา ชีวิตผมก็เปลี่ยนแปลงไปโดยที่ผมเองก็มิได้รู้ว่าทำไมชีวิตของผมซึ่งเป็นครูต้องเปลี่ยนแปลงงานที่ทำโดยมิได้ตั้งใจ ชีวิตเจริญก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ
แต่พระราชดำรัสที่พระองค์ตรัสไว้นั้นจารึกอยู่ในใจผมเสมอ ผมอยากจะเรียนท่านให้ทราบเพียงเท่านี้แหละครับ
ถ้าท่านจะกรุณานำไปเล่าให้คนทั้งหลายได้รับทราบ ก็จะเป็นลาภของคนที่ฟัง
เขาจะได้รู้ว่าพวกเขาควรทำอย่างไร จึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนของพระราชา
ขอบคุณ:ภาพ และ ข้อมูล จาก เพจชมรมคนรักในหลวง






