ศานิตย์ ขึงขัง สั่งรื้อคดีแพะฉกเพชร ด้าน ผู้เสียหาย เตรียมฟ้องเอาผิดชุดจับกุม พนักงานสอบสวน

ศานิตย์ ขึงขัง สั่งรื้อคดีแพะฉกเพชร ด้าน ผู้เสียหาย เตรียมฟ้องเอาผิดชุดจับกุม พนักงานสอบสวน

จากกรณีที่ นายพิสิษฐ์ สุวรรณพิมพ์ ตกเป็นจำเลยในคดีหน่วงเหนี่ยวกักขังและร่วมกันวิ่งราวทรัพย์ ซึ่งเป็นเพชรมูลค่า 15 ล้านบาท  จากผู้เสียหายรายหนึ่ง ภายในหมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านบางแวก เขตภาษีเจริญ กทม. ก่อนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามจับกุมตัวได้ที่ จ.นครพนม รวมถึงผู้เสียหายยืนยันว่านายพิสิษฐ์เป็นผู้วิ่งราวเพชรไป ทั้งที่ตัวนายพิสิษฐ์ได้นำหลักฐานเป็นใบรับรองแพทย์ยื่นต่อศาลว่าวันเกิดเหตุอยู่คนละพื้นที่กับที่เกิดเหตุ ทั้งนี้มีความเป็นไปได้ที่ผู้กระทำผิดตัวจริงน่าจะมีชื่อ-สกุลซ้ำกันกับของตน โดยระหว่างการพิจารณาคดีนายพิสิษฐ์ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำพิเศษธนบุรี โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ผู้เสียหายซึ่งเป็นพยานโจทก์ ให้การไม่ชัดเจนเกี่ยวกับรูปพรรณคนร้ายที่มีลักษณะแตกต่างกับจำเลยทั้งรูปร่าง ส่วนสูง ดังนั้นยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายกระทำผิด จึงพิพากษายกฟ้องและปล่อยตัวเมื่อวันที่ 26 ก.ย.

ศานิตย์ ขึงขัง สั่งรื้อคดีแพะฉกเพชร ด้าน ผู้เสียหาย เตรียมฟ้องเอาผิดชุดจับกุม พนักงานสอบสวน

หลังจากที่ได้รับการปล่อยตัวนายพิสิษฐ์ สุวรรณพิมพ์ พร้อมด้วยภรรยา และแม่ ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการต่างคนต่างคิด ทางช่องอัมรินทร์  โดยเผยว่า ขณะที่ถูกจับตัวไปนั้นกำลังเตรียมของทจะขาย โดยระหว่างนั้นได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน.บางเสาธง มาจับตัวโดยได้พาไปยังรีสอร์ทแห่งหนึ่งในจังหวัดนครพนม โดยตำรวจที่มาจับกุมได้ปิดตาและทำร้ายร่างกาย พร้อมถามว่า “เอาเพชรไปไว้ไหน” แต่ตนยืนยันว่าไม่รู้เรื่องและไม่ได้เอาไป พร้อมกันนี้ยังได้ถูกตำรวจทำร้ายร่างกายด้วยการเตะ ทุกครั้งที่ตนปฏืเสธไม่ได้เอาไป ทั้งนี้ยังได้เสนอขอวิดีโอคอลกับคุณบุญญรัตน์ เจ้าของเพชร เพื่อให้เห็นหน้าตาว่าผู้ที่ขโมยทรัพย์สินไปไม่ใช่ตน แต่คุณบุญญรัตน์กลับพูดเพียงว่า “มึงเอาเพชรกูไปทำไม” ในความเป็นจริงเจ้าหน้าที่ต้องมีจับผู้ร้ายตัวจริงให้ได้ และอยากให้ทางเจ้าหน้าที่หาหลักฐานให้พร้อมเสียก่อน พร้อมขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่ให้การช่วยเหลือทำให้ตนพ้นผิด และไม่คิดที่จะฟ้องร้องเอาผิดกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ

โดยขณะที่ทางรายการพยายยามติดต่อกับทางสน.บางเสาธง แต่ทาง สน.ไม่พร้อมชี้แจง ได้แต่ฝากความยินดีที่นายพิสิษฐ์ สุวรรณพิมพ์ได้ถูกปล่อยตัวออกมา

ทั้งนี้ตั้งข้อสงสัยว่า ชุดเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จับกุมตัวนายพิสิษฐ์ สุวรรณพิมพ์ จะมีความผิดไหม หากมีความผิดจะต้องได้รับบทลงโทษอย่างไรบ้าง

เบื้องต้นนายพิสิษฐ์ จะได้รับเงินเยียวยาตามพ.ร.บ.กองทุนยุติธรรม ซึ่งกำหนดให้ช่วยเหลือผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือผู้ได้รับผลจากการถูกละเมิดวันละ 500 บาท ประมาณ 200 วัน เป็นเงินกว่า 1 แสนบาท

 

ศานิตย์ ขึงขัง สั่งรื้อคดีแพะฉกเพชร ด้าน ผู้เสียหาย เตรียมฟ้องเอาผิดชุดจับกุม พนักงานสอบสวน

ล่าสุดวานนี้ 27 ก.ย นายพิสิษฐ์ สุวรรณพิมพ์ พร้อมครอบครัวและทนายความ ได้เดินทางมาที่สถานีตำรวจนครบาลบางบอน เพื่อลงบันทึกประจำวันแสดงความบริสุทธิ์ใจและแจ้งว่าไม่เคยนำบัตรประชาชนไปใช้ในทางมิชอบหรือกระทำผิดกฎหมาย เหตุมีหลักฐานระบุชื่อเป็นคนลงทะเบียนซิมการ์ดโทรศัพท์ที่คนร้ายใช้ติดต่อเหยื่อ

ด้านนายศักดิ์ศิริ สวัสโภชา ทนายความของนายพิสิษฐ์ เผยว่า "กรณีฟ้องกลับตำรวจผู้จับกุมและดำเนินคดีให้เยียวยากับนายพิสิษฐ์นั้น ต้องรออีก30วันถ้าหากเกิน30วันแล้วยังไม่มีการยื่นอุทธรณ์คดี ตนจะนำนายพิสิษฐ์ พร้อมพยานหลักฐานทั้งหมดที่มีเข้าร้องทุกข์แจ้งความกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดอย่างแน่นอน"

ขณะที่พล.ต.ต.ธีระพงษ์ วงษ์รัฐพิทักษ์ ผบก.น.7 กล่าวว่า เบื้องต้นได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องตรวจสอบกรณีดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. ยังได้กำชับให้ตรวจสอบกรณีดังกล่าวด้วย ส่วนด้านพ.ต.อ.ศุภกิจ ต่อบุญ ผกก.สน.บางเสาธง กล่าวว่าคดีนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปฏิบัติหน้าที่ตามพยานหลักฐาน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จับกุมตัวนายพิสิษฐ์นั้นไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจของ สน.บางเสาธง แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางเสาธง ไปอายัดตัวมาอีกทอดหนึ่งจาก สภ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา