- 06 ก.พ. 2561
The History of Valentine’s Day ประวัติ ความเป็นมาของ วันวาเลนไทน์ Valentine 14 กุมภาพันธ์ วันแห่งความรัก (Valentine’s Day)
สวัสดีค่ะท่านผู้ชมที่น่ารักทุกท่าน ขณะนี้เราทุกคนได้ก้าวเข้าสู่ เดือนกุมภาพันธ์ ซึ่ง ถือได้ว่าเดือนนี้เป็นเดือนที่มีความสำคัญสุดแสนพิเศษแห่งปี!!ที่เราทุกคนล้วนต่างมีใจจดจ่อเฝ้าตั้งหน้าตั้งตานับวันรอคอยให้มาถึงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะคะ ผู้เขียนเชื่อว่าทุกคนคงจะดีใจกันเป็นอย่างมากเลยทีเดียวโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นหนุ่มๆสาวๆและคู่รัก คู่ครอง หรือที่พวกเราเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า”คู่สามีภรรยา-คู่สมรส”ในประเทศไทยเราและรวมถึงกลุ่มบุคคลดังกล่าวที่อยู่ในแต่ละประเทศทั่วโลกอีกด้วย
โดยเราจะเห็นได้ว่าในเดือนนี้ของทุกๆปีจะมี คู่รักหลายๆคู่ ต่างยินยอมพร้อมใจกันสละโสดจับมือกัน”สั่นระฆังรัก”ตบเท้าก้าวเข้าสู่”ประตูวิวาห์”อย่างโรแมนติกสุดหวานชื่นกันเป็นแถวๆ อีกทั้งยังมีคู่รักหลายๆคู่เลยทีเดียวที่ต่างก็ตกลงปลงใจจูงมือกันไปจดทะเบียนสมรส ณ ที่ว่าการอำเภอ/สำนักงานเขตต่างๆทั้งในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัดในช่วงของเดือนพิเศษนี้ รวมถึงผู้คนอีกเป็นจำนวนมากที่มักจะเลือกใช้โอกาสนี้ พูดแบบเปิดอกสารภาพบอกความในใจของตนต่ออีกฝ่ายอย่างเซอร์ไพรส์ ยกตัวอย่างเช่น เลื่อนสถานะที่คลุมเคลือจากคนรู้ใจเป็นคนรัก จากเพื่อนสนิทสุดซี้เลื่อนขั้นมาเป็นแฟนกัน และจากคู่รัก เลื่อนขั้นเป็นภรรยาโดยถือเอาเดือนนี้เป็นฤกษ์งามยามดี แห่งการเริ่มต้นสิ่งต่างๆที่ล้วนเกี่ยวข้องกับความรัก ไม่ว่าจะเป็นการบอกรักกัน การเริ่มต้นคบหาดูใจกัน รวมถึงการเริ่มต้นใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน ซึ่ง ส่วนใหญ่ล้วนเลือกทำกันในเดือนนี้ !!ตามกระแสความเชื่อที่ว่าเดือนนี้เป็น”เดือนแห่งความรัก”นั่นเองค่ะ เอาล่ะค่ะ ทีนี้เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าค่ะ ท่านผู้ชม หลังจากที่ผู้เขียนได้เกริ่นนำร่องมาอย่างยืดยาวเกือบๆจะเทียบเท่ากับความยาวของขบวนรถไฟสายเหนือและขวบวนรถไฟสายใต้มาต่อรวมกันซะแล้ว!(แฮรรร่ ค่อนข้างจะเพลินไปนิดต้องขออภัยด้วยนะคะ)
ถ้าหากว่าทุกคนได้ติดตามรับชมเนื้อหาสาระข้อมูลบทความนี้จากข้างต้น ผู้เขียนเชื่อว่าหลายๆคนคงพอที่จะรู้กันบ้างแล้วว่าวันนี้ผู้เขียนจะมานำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร!!!ซึ่งก็แน่นอนค่ะ คำตอบที่ว่า นั่นก็คือ วันนี้ผู้เขียนมีเรื่องราวประวัติความเป็นมาของ วันวาเลนไทน์ Valentine’s (The History of Valentine’s Day) มานำเสนอ เพื่อให้ทุกคนได้ทราบว่าวันวาเลนไทน์ นั้นมีเรื่องมีราวความเป็นมาอย่างไร! ใครคือผู้ก่อกำเนิด วันวาเลนไทน์ ! และเพราะเหตุใด ทำไมถึงเรียกวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ในทุกๆปีเป็นวัน วาเลนไทน์ หรือ วันแห่งความรัก! ตามที่เราคนไทยต่างก็รู้จักและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี!! แต่อาจจะยังไม่รู้ซึ้งถึงประวัติข้อเท็จจริงกันสักเท่าไหร่!!! ซึ่ง วันนี้ ผู้เขียนก็ได้นำคำตอบที่ได้จากการสืบค้นมาให้ทุกคนได้อ่านประดับความรู้โดยทั่วกันค่ะ และเชิญทุกท่านรับชมสาระข้อมูลดังกล่าวได้ดังต่อไปนี้…
จากการสืบค้นข้อมูลประวัติความเป็นมาของ วันวาเลนไทน์ (Valentine's Day) ผู้เขียนพบว่า วันที่ 14 กุมภาพันธ์นั้น เป็นวันเสียชีวิตของนักบุญวาเลนไทน์ (Saint Valentine's Day) หรือเซนต์วาเลนไทน์ “นักบุญแห่งความรัก”นั่นเองค่ะ ซึ่งในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี ถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวคริสต์ หรือที่เราต่างรู้จักกันว่า”วันแห่งความรัก” นั้น เป็นวันที่คู่รักจะบอกความในใจของกันและกัน เช่นการส่งการ์ด, มอบดอกไม้ หรือพากันไปท่องเที่ยวในสถานที่หวานแหว๋วโรแมนติกสุดประทับใจสำหรับในประเทศไทยเอง เทศกาลแห่งความรักนี้ก็ได้รับความนิยมแพร่หลาย ไม่ว่าจะในหมู่ชาวคริสต์ หรือชาวพุทธก็ตามรวมถึงในหลายๆประเทศทั่วโลก
วันวาเลนไทน์ (Valentine's Day)นั้นเริ่มมีขึ้น ตั้งแต่ช่วงยุคสมัยที่”จักรวรรดิโรมัน”มีอิทธิพลเรืองอำนาจมากที่สุดในยุคนั้นค่ะ โดย”จักรวรรดิโรมัน”ได้กำหนดให้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกๆปี เป็นวันหยุด เพื่อเป็นเกียรติแด่ เทพเจ้าจูโน ผู้เป็นจักรพรรดินีแห่งเทพเจ้าโรมัน นอกจากนี้แล้ว พระองค์ยังทรงเป็นเทพเจ้าแห่งอิสตรีเพศ และการแต่งงานอีกด้วย ซึ่งพระองค์ได้ทรงกำหนดให้ในวันถัดไป ความหมาย ก็คือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ในทุกๆปี เป็นวันเริ่มต้น เทศกาลเฉลิมฉลองแห่งลูเพอร์คาร์เลีย การดำเนินชีวิตของชายหนุ่ม-หญิงสาวจะถูกตัดขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิงค่ะ
ต่อมาในรัชสมัยของ จักรพรรดิคลอดิอัส ที่ 2 (Emperor Claudius II) แห่ง กรุงโรม พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่มี ใจคอที่โหดเหี้ยมอำมหิตดุร้ายมาก อีกทั้ง พระองค์ยังทรงเป็นกษัตริย์ ที่มีรสนิยมโปรดปราน การกระทำศึกสงครามการนองเลือดเป็นอย่างมาก พระค์ได้ทรงตระหนักว่าสาเหตุที่ชายหนุ่มส่วนมากไม่ประสงค์ที่จะเข้าร่วม ในกองทัพของพระองค์นั้น เนื่องจากชายหนุ่มเหล่านั้นไม่อยากแยกจากคู่รักของตน และไม่อยากพลัดพรากห่างจากครอบครัวของตนไป จึงได้ทรงตัดสินใจมีพระราชโองการ สั่งให้ยกเลิกการจัดพิธีหมั้นและการแต่งงานของชาวโรมันในยุคนั้นไปอย่างสิ้นเชิง สรุปง่ายๆ ก็คือพระองค์ทรงห้ามไม่ให้มีการจัดพิธีหมั้นและการแต่งงานกันขึ้นในกรุงโรมโดยเด็ดขาด!!ทำให้ประชาชนทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง. แต่ทว่า!!!ในขณะนั้นก็มีนักบุญรูปหนึ่งนามว่า เซนต์วาเลนไทน์ หรือ วาเลนตินัส ซึ่งอาศัยอยู่ในกรุงโรม ได้ให้ความร่วมมือกับ เซนต์มาริอัส ปฏิบัติการสวนกระแส ของจักรพรรดิคลอดิอัส ที่ 2 (Emperor Claudius II) ชักชวนคู่รักมาแต่งงาน และจัดพิธีแต่งงานให้กับบรรดาคู่รักหนุ่มสาวชาวคริสต์หลายต่อหลายคู่ และด้วยความปรารถนาดีนี้เองค่ะที่เป็นสาเหตุทำให้ เซนต์วาเลนไทน์ ต้องโทษถูกจับกุม แต่ระหว่างนี้ เซนต์วาเลนไทน์ ก็ยังคงส่งคำอวยพร วาเลนไทน์ ที่ถูกบรรจงเขียนขึ้นมาด้วยตัวของเขาเอง ขณะที่เขาเป็นนักโทษ และคำอวยพรที่เขาส่ง ก็ได้กลับกลายเป็นชนวนแห่งความหายนะแห่งชีวิตของเขาและเรื่องราวความเชื่อที่ว่า เซนต์วาเลนไทน์ ได้เกิดตกหลุมรักหญิงสาวคนหนึ่ง
ซึ่งหญิงสาวคนนี้เธอมีสถานะเป็นลูกสาวของผู้คุมนักโทษ เธอมีนามว่า”จูเลีย” ว่ากันว่า จูเลีย เธอได้มาเยี่ยม เซนต์วาเลนไทน์ ระหว่างที่เขายังคงถูกคุมขังอยู่ในคืนก่อนที่ เซนต์วาเลนไทน์ จะสิ้นชีวิต โดยการถูกนำตัวไปประหารด้วยการตัดศีรษะ และก่อนหน้าที่เขาจะสิ้นชีวิต เขาได้ส่งจดหมายฉบับ สุดท้ายถึง จูเลีย…โดยมีคำลงท้ายว่า "From Your Valentine" วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หลังจากนั้นศพของเขาได้ถูก เก็บไว้ที่โบสถ์ พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม และจูเลีย เธอก็ได้ปลูกต้นอามันต์ หรือ อัลมอลต์สีชมพูไว้ใกล้ๆดับหลุมศพของ วาเลนตินัส แด่ผู้เป็น ที่รักของเธอ นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ต้นอามันต์สีชมพูดังกล่าวได้เป็นตัวแทนแห่งความรักอันเป็นนิรันดร์และสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพอันบริสุทธิ์สวยงาม และที่สำคัญคำว่า Valentine นี้ก็ยังเป็นคำที่ถูกนำเอามาใช้เรียกกันมาจนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าเบื้องหลังฉากความเป็นจริงของ วาเลนไทน์ จะเป็นตำนานอันมืดบอดสนิทที่พวกเราไม่อาจล่วงรู้ได้อย่างลึกซึ้ง แต่ทว่า!! เรื่องราวต่างๆเหล่านี้ก็ยังคงเป็นตัวเชื่อมโยงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตได้เป็นอย่างดี โดยอาศัยวิธีการสื่อสัมผัสผ่านทางความรู้สึกของผู้คนมาหลายยุค หลายสมัยที่สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกสงสารและการยกย่องในความกล้าหาญของ วาเลนตินัส และที่สำคัญที่สุดนั้นก็คือ Valentine ถือเป็นเครื่องหมายของความโรแมนติค จึงไม่น่าประหลาดใจเลยว่าในช่วงยุคกลาง ๆนั้น Saint Valentine ได้รับการยกย่องเป็นนักบุญที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอังกฤษ และฝรั่งเศส
และต่อมาพระนักบวชในนิกายโรมันคาทอลิก จึงได้กำหนดให้วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกๆปี เป็นวันเฉลิมฉลอง เทศกาลวันแห่งความรัก และดูเหมือนว่าวันนี้ยังคงเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่ชายหนุ่มต่างนิยมยึดถือปฏิบัติสืบทอดต่อๆกันมา ซึ่งก็คือบรรดาชายหนุ่ม มักจะนิยมเลือกหญิงสาวคนที่ตนเองพึงพอใจที่สุดมาเป็นคนรัก หรือเลือกที่จะสารภาพรักฝ่ายหญิงคนใดคนหนึ่งที่ตนหมายปอง และชายหนุ่มหลายๆ คนก็นิยมสู่ขอฝ่ายหญิงที่ตนพึงพอใจที่สุดแต่งงานกับตน เพื่อจะได้ครองคู่อยู่เป็นสามีภรรยาใช้ชีวิตร่วมกันตลอดไปจวบจนกระทั่งได้แก่เฒ่าชราลงเป็นปู่ย่า-เป็นตายายไปด้วยกันจนสิ้นอายุขัยในวันวาเลนไทน์ (Valentine's Day) สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้ค่ะ อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่า วันวาเลนไทน์ หรือ Valentine's Day ของผู้คนในแต่ละประเทศนั้น บางประเทศอาจจะมีธรรมเนียมประเพณีหรือการปฏิบัติที่แตกต่างกันอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วก็ไม่ถึงกับว่า มีความแตกต่างกันมากมายอะไรนักเพราะเทศกาลงานเฉลิมฉลอง Valentine's Day ที่ในแต่ละประเทศได้จัดขึ้นนั้นล้วนเป็นการแสดงออกถึง ความรักที่ต่างฝ่ายต่างมีให้ระหว่างกันจึงดูคล้ายๆกัน
ธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติกันในวันวาเลนไทน์
หลายร้อยปีก่อนในประเทศอังกฤษ เด็ก ๆ จะแต่งตัวลอกเลียนแบบผู้ใหญ่ในวันวาเลนไทน์ แล้วร้องเพลงจากบ้านหลังหนึ่งไปยังบ้านอีกหลังหนึ่ง ในเนื้อเพลงท่อนหนึ่งจะกล่าวว่า ” Good morning to you, Valentine ; Curl your locks as I do mine — Two before and three behind. Good morning to you, Valentine.”
ในประเทศเวลส์ ผู้ที่มีความรักและชื่นชมในงานช้อนไม้แกะสลัก จะทำการแกะสลักช้อนและมอบให้เป็นของขวัญในวันวาเลนไทน์ โดยจะสลักรูปหัวใจ และลูกกุญแจไว้บนช้อนนั้น ซึ่งมีความหมายว่า”คุณได้ไขหัวใจของฉัน” (You unlock my heart)เด็กหนุ่มสาวจะทำการเขียนชื่อคนที่ตัวเองชอบ แล้วหย่อนไว้ในอ่างหรือชาม แล้วหยิบขึ้นมาหนึ่งชื่อ เพื่อดูว่าใครจะเป็นคู่ของตัวเองในวันวาเลนไทน์ หลังจากนั้นก็จะเอาชื่อที่หยิบได้นี้มาติดไว้ที่แขนเสื้อเป็นเวลาหนึ่ง สัปดาห์ การทำเช่นนี้มีความหมายว่า คนๆ นั้นต้องการบอกคนทั่วไปรู้ได้ง่าย ๆ ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรนั่นเองค่ะ
โดยในบางประเทศ ผู้หญิงจะได้รับของขวัญเป็นเครื่องแต่งกายจากผู้ชาย แล้วถ้าผู้หญิงคนนั้นเก็บของขวัญชิ้นนี้เอาไว้นั่นหมายถึงหล่อนจะแต่งงานกับเขาบางคนมีความเชื่อว่า ถ้าผู้หญิงคนใดเห็นนกโรบินบินผ่านเหนือศรีษะตนเองในวันวาเลนไทน์ นั่นหมายถึงหล่อนจะได้แต่งงานกับกะลาสีเรือ หรือถ้าผู้หญิงคนใดเห็นนกกระจอก หล่อนก็จะได้แต่งงานกับชายยากจนและจะมีความสุข และถ้าผู้หญิงคนไหนเห็นนก Goldfinch หมายถึงหล่อนจะได้แต่งงานกับมหาเศรษฐีค่ะ
ส่วนในบางประเทศจะมีการทำเก้าอี้แห่งรักขึ้นมา ซึ่งจะเป็นเก้าอี้ที่มีขนาดกว้าง ในครั้งแรกที่มีการทำเก้าอี้นี้ขึ้นมาก็เพื่อจะให้ผู้หญิงที่แต่งตัวในชุดราตรีนั่ง ต่อมาเก้าอี้แห่งรักนี้ได้ทำขึ้นเป็นสองส่วนและมักจะทำเป็นรูปตัวเอส (S) ซึ่งการทำเก้าอี้ทรงนี้จะทำให้คู่รักสามารถนั่งด้วยกันได้ แต่จะไม่ใกล้ชิดกันจนเกินไปบางธรรมเนียมค่ะ
และในบางแห่งของโลก เด็กหนุ่มสาวจะนึกถึงชื่อของคนที่ตัวเองอยากจะแต่งงานด้วยประมาณห้าถึงหกชื่อ ในขณะที่ปอกเปลือกผลแอปเปิ้ลนั้นให้เป็นขดนั้น ก็ให้เอ่ยชื่อของคนที่นึกถึงออกมาจนกว่าจะปอกเปลือกแอปเปิ้ลได้หมดผล และเชื่อกันว่า คนที่จะได้แต่งงานด้วยนั้นคือคนที่เอ่ยชื่อถึงในขณะที่ปอกเปลือกของแอปเปิ้ล ได้หมดพอดีในบางประเทศมีความเชื่อว่า ถ้าหากผ่าผลแอปเปิ้ลออกมาเป็นสองซีก แล้วให้นับเมล็ดข้างในดู แล้วก็จะสามารถรู้จำนวนบุตรในอนาคตได้ค่ะ
สัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์
สัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์คือ เทพเจ้าคิวปิด ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความรักดั้งเดิมของชาวโรมัน ร่างกายเป็นเด็กทารกติดปีก กำลังโก่งคันศรทองเล็งไปยังหัวใจของผู้คน ตามตำนานของกรีกและโรมันพูดถึงคิวปิดว่า เป็นบุตรของมาร์ (เทพเจ้าของสงคราม) และ วีนัส (เทพเจ้าแห่งความรักและความงาม) ค่ะโดยในเทพปกรณัมคลาสสิก คิวปิด (อังกฤษ: Cupid; ละติน: CUPIDO) เป็นพระเจ้าแห่งความปรารถนา ความรักแบบกาม (erotic) ความดึงดูดและวิภาพ (affection) มักพรรณนาว่าพระองค์เป็นพระโอรสของเทพีวีนัส เทพีแห่งความรักของโรมัน ภาคกรีก คือ เอียรอส (Eros) ค่ะ
ตำนานความรักของ เทพเจ้าคิวปิด นั้น ในอดีต เทพเจ้าวีนัสอิจฉา “ไซกี” ธิดาวัยกำลังแรกรุ่นของกษัตริย์องค์หนึ่ง ที่สำคัญคือไซกีสวยกว่าเทพเจ้าวีนัสมาก นางเลยส่งเทพเจ้าคิวปิดไปหาไซกี เพื่อบันดาลให้ไซกีมีความรักกับบุรุษเพศ แต่เทพเจ้าคิวปิดกลับหลงรักไซกีและพามาที่วัง และลอบมาหาในเวลากลางคืนเพื่อไม่ให้ไซกีรู้ว่าตนเองเป็นใคร แต่มีคนยุให้ไซกีแอบดูตอนเทพเจ้าคิวปิดนอนหลับ แต่ด้วยความตื่นเต้นของไซกีที่เห็นเทพเจ้าคิวปิดเป็นหนุ่มรูปงาม เลยเผลอทำน้ำมันตะเกียงหกใส่เทพเจ้าคิวปิด เมื่อเทพเจ้าคิวปิดรู้สึกตัวตื่นขึ้นก็โกรธมากที่นางขัดคำสั่ง จึงทิ้งนางไป เมื่อโดนทิ้ง ไซกีก็ออกตามหาเทพเจ้าคิวปิด ซึ่งตลอดเวลาไซกีถูกเทพเจ้าวีนัสกลั่นแกล้งต่าง ๆ นานา จนเทพเจ้าคิวปิดเห็นใจต้องเข้ามาช่วย เทพเจ้าจูปิเตอร์เห็นใจ จึงช่วยให้ทั้งสองได้ครองรักกันแม้ว่าเอียรอสปรากฏเป็นเด็กผอมบางมีปีกในศิลปะกรีกคลาสสิก แต่ระหว่างสมัยเฮลเลนนิสติก มีการพรรณนาพระองค์เป็นเด็กชายเจ้าเนื้อเพิ่มขึ้น ในช่วงนี้ รูปเคารพของพระองค์ได้ธนูและลูกศรซึ่งเป็นตัวแทนของบ่อเกิดอำนาจของพระองค์เพิ่มขึ้นมา มนุษย์หรือกระทั่งพระเจ้าที่ถูกยิงด้วยลูกศรของคิวปิดจะเปี่ยมด้วยความปรารถนาซึ่งควบคุมไม่ได้ ตามตำนาน คิวปิดเป็นตัวละครรองซึ่งดำเนินโครงเรื่องเป็นส่วนมาก พระองค์เป็นตัวละครหลักเฉพาะในนิทานคิวปิดและไซคี ซึ่งเมื่อต้องอาวุธของพระองค์เอง พระองค์ก็ได้สัมผัสประสบการณ์ความรักอันเจ็บปวด แม้ไม่มีการเล่าเรื่องยาวอื่นๆเกี่ยวกับคิวปิด แต่แบบแผนประเพณีของพระองค์นั้นอุดมในแก่นเรื่องกวีและฉากเรื่องภาพ เช่น "ความรักชนะทุกสิ่ง" และการลงโทษหรือทรมานแก้เผ็ดของคิวปิด
ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้เขียนก็พอที่จะสรุปได้แบบสังเขปดังนี้ ประวัติวันวาเลนไทน์ เข้ามาข้องเกี่ยวกับรักแบบโรแมนติกเป็นครั้งแรกในแวดวงสังคมของเจฟฟรีย์ ชอเซอร์ ช่วงกลางสมัยกลาง (High Middle Ages) เมื่อประเพณีรักเทิดทูน (courtly love) เฟื่องฟู จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 วันวาเลนไทน์ได้วิวัฒนามาเป็นโอกาสซึ่งคู่รักจะแสดงความรักของพวกเขาที่มีต่อกันโดยให้ดอกไม้ ขนมหรือลูกกวาด และส่งการ์ดอวยพรกัน ซึ่งก็เหมือนๆกับที่พวกเราทำกันนั่นแหละค่ะ ซึ่งก็เหมือนๆกับที่พวกเราทำกันนั่นแหละค่ะ แต่ในยุคสมัยปัจจุบันนี้เทคโนโลยีด้านสารสนเทศ ได้มีวิวัฒนาการที่ก้าวหน้ามากขึ้นกว่าเดิมมากกว่าแต่ก่อนจากที่ เทคโนโลยีทางด้านการพิมพ์เคยเข้ามามีบทบาทสำคัญและมีส่วนเกี่ยวข้องที่สอดคล้องสัมพันธ์กันส่วนใหญ่ โดยได้มีการจัดพิมพ์บัตรอวยพรเข้ามาแทนที่จดหมาย แต่ยังคงต้องบรรจงเขียนด้วยลายมือของแต่ละคนนั้นในปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนจากวิธีการเดิมๆมาเป็นการส่งบัตรอวยพรกันทางสื่อออนไลน์ต่างๆ เพื่อแสดงถึงความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งช่วยให้ผู้คนที่ต้องการแสดงความรักความห่วงใยของตน ถึงคนที่รักได้อย่างสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็คือ เราทุกคนสามารถที่จะภาพส่งดอกไม้สวยๆ หรือภาพขนมชื่อมงคลต่างๆให้กันและกันได้ง่ายๆสะดวกขึ้นและสามารถส่งด้วยตัวเองได้ทุกที่ทุกเวลา ในรูปลักษณ์ใหม่ๆและมีความแปลกใหม่มากขึ้นเรื่อยๆทุกปี
ในลักษณะของ E-Card หรือ Electronic Card หมายถึง บัตรอวยพร หรือบัตรทักทายในรูปแบบอิเลคโทรนิค ซึ่งในปัจจุบันมีเว็บไซต์เป็นจำนวนมากทั้งไทยและต่างประเทศ ที่ให้บริการส่ง e-card ในวาระพิเศษ หรือเทศกาลสำคัญต่างๆ ที่สุดแสนจะสะดวกสบาย และมีให้เลือกทั้งแบบที่เสียค่าใช้จ่ายและแบบที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆอีกด้วยค่ะ อีกทั้งยังมีการ์ดแบบต่างไปให้คุณเลือกมากมายหลายแบบแต่ละแบบจะบรรจุข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และเสียงเพลง ดังที่ผู้เขียนกล่าวไว้ข้างต้น ซึ่งผู้ส่งสามารถเลือกตกแต่งรายละเอียดต่างเพิ่มเติมได้ตามที่ต้องการ แต่คุณควรที่จะเตรียมข้อมูลต่างๆเอาไว้ก่อนหน้าให้เรียบร้อยด้วยนะคะ ก่อนจะใช้บริการส่ง e-card ก็คือชื่อ-นามสกุลและ email address ของผู้รับและของตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นมากในการที่เว็บไซต์ต่างๆเหล่านั้นจะใช้กำหนดเส้นทางส่ง e-card ไปถึงยังผู้รับปลายทางและใช้สำหรับแจ้งให้ผู้ส่งทราบว่าผู้รับ e-card ได้เปิดอ่าน e-card นั้นๆแล้วหรือยัง!! และทั้งหมดนี้ก็เป็นไปตามจุดประสงค์เพียงเพื่อจะแนะนำให้แต่ละคนได้เลือกใช้ช่องทางที่สะดวกสบายรวดเร็วทันใจในการบอกความนัยให้แก่คนพิเศษ ของแต่ละคนได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพนั่นเองค่ะ
ทั้งนี้ผู้เขียนหวังว่าในวันแห่งความรัก Valentine's Day ที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้านี้จะเป็นอีกวันหนึ่งที่เราทุกคนมีความสุขที่สุด!!ใครที่ยังไม่มีคนรักก็ขอให้ได้พบกับคนที่ถูกใจในวัน Valentine's Day ปีนี้นะคะและใครที่มีแผนการที่จะใช้ช่วงโอกาสนี้สารภาพบอกความนัยของตัวเองกับใครก็ขอให้ทุกคนประสบผลสำเร็จได้รับสัญญาณไมตรีการตอบรับที่ดีจากอีกฝ่ายสมความปรารถนานะคะ สำหรับใครที่เป็นคู่รักกันมานานแต่ไม่มีวี่แววว่าฝ่ายชายจะยอมสละอิสระภาพความเป็นส่วนตัวของเขาทิ้งแล้วหันมาชวนให้คุณสละโสดไปร่วมใช้นามสกุล จับมือกันสั่นระฆังวิวาห์ให้เป็นทางการเสียที ปีนี้ขอให้คุณสมหวังได้แต่งงานเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดแห่งปีกันทุกคนเลยนะคะ ส่วนใครที่มีความบาดหมางใจกับใครก็ขอให้วันแห่งความรักในปีนี้นำมาซึ่ง ความสันติระหว่างกันและกันให้พลังอำนาจแห่งความรัก พังทลายกำแพงที่กั้นระหว่างกันเอาไว้และจูนความรู้สึกให้กลับมาเชื่อมโยงสานสัมพันธ์แห่งมิตรภาพที่ดีๆระหว่างกันและกันได้อีกครั้งนะคะ Happy Valentines Day.
ขอขอบคุณ:Cr.เจ้าของภาพต่างๆที่ผู้เขียนได้นำมาจาก(อินเตอร์เน็ต)เพื่อใช้ในการแสดงประกอบเนื้อหาสาระข้อมูลนี้ค่ะ!! ขอบคุณที่มาของภาพข้อมูลจาก:วิกิพีเดีย, ,และข้อมูลเพิ่มเติม,(บางส่วน)จาก :อินเตอร์เน็ตค่ะ
เรียบเรียงโดย: โชติกา พิรักษา และ ศศิภา ศรีจันทร์ ตันสิทธิ์




