- 08 มิ.ย. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
เห็นมานักต่อนักแต่ยังเห็นอีกมุมหนึ่งของสังคมไทย ปรากฎข้อเท็จจริงเป็นคดีความสะท้อนให้รู้ว่าถึงแม้เทคโนโลยีจะก้าวไกลขนาดไหน แต่เรื่องขอความเชื่อที่ขยายความไปถึงมุมงมงายก็คงมีไม่จบไม่สิ้น เช่นกรณีล่าสุดเมื่อ นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ได้นำผู้เสียหายหลายสิบคนที่ได้รับผลกระทบจากพฤติการณ์บุคคลที่ชื่อว่า นายต่อศักดิ์ พักวัด อดีตพนักงานธนาคารแห่งหนึ่ง มาร้องทุกข์ต่อ พล.ต.ต.ไมตรี เฉิมเฉิด ผู้บังคับการกองปราบปราม หลังจากถูกอีกฝ่ายหลอกว่าร่างทรงเจ้าพ่อเมืองสุรินทร์ แล้วใช้กลอุบายเรียกเอาทรัพย์สินเสียหายไปกว่า 10 ล้านบาท (คลิกชมคลิปวิดีโอค้นสำนักร่างทรงด้านล่าง)
ทั้งนี้นายรณณรงค์ อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นว่านายต่อศักดิ์ ซึ่งอ้างเป็นร่างทรงเจ้าพ่อเมืองสุรินทร์ ได้ทักทำนายชะตาชีวิตและหลอกลวงผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้หลงเชื่อยอมให้ทำการสะเดาะเคราะห์ จากนั้นได้เรียกเงินหรือทรัพย์สินของผู้เสียหาย ประกอบด้วยทองรูปพรรณและรถยนต์ หรือบางรายจะอ้างความน่าเชื่อถือที่เคยเป็นพนักงานแบงก์เก่า หลอกผู้เสียหาย อย่างเช่น นางสาวคณนภัส แซ่เตีย ประกอบอาชีพขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างว่า สามารถกู้เงินรีไฟแนนซ์บ้านพักใหด้ในราคาสูงถึง 2 ล้าน จนเหยื่อหลงเชื่อได้ไปกู้เงินนอกระบบ มาทยอยส่งให้ไปเป็นเงิน 6 แสนบาท แต่สุดท้ายนายต่อศักดิ์ไม่สามารถดำเนินการให้ได้
ขณะที่นายเอ(นามสมมุติ) เหยื่อคนหนึ่งเล่าประสบการณ์ที่เจอว่า รู้จักกับนายต่อศักดิ์ เนื่องจากเป็นเพื่อนบ้านกัน ต่อมาอีกฝ่ายได้อ้างตัวว่าเป็นร่างทรงเจ้าพ่อเมืองสุรินทร์ ก่อนจะทายทักให้มีการปรับเปลี่ยนฮวงจุ้ยออฟฟิศ ซึ่งช่วงแรกปรากฏว่ากิจการดีขึ้นจริงและมีลูกค้าเพิ่มขึ้น จึงได้ติดต่อกันเรื่อยมา จนกระทั่งมีการชักชวนให้นำเงินมาฝากกับธนาคาร โดยอ้างว่ามีโครงการฝาก 1 แสนบาท กู้ได้ 1 ล้านบาท ซึ่งตนก็หลงเชื่อหาเงินมาฝากแต่เมื่อตรวจสอบกับทางธนาคาร จึงรู้ว่าถูกหลอกเนื่องจากนายต่อศักดิ์ไม่นำเงินของตนเองไปดำเนินธุรกรรมกับธนาคารแต่อย่างใด และตัวนายต่อศักดิ์ก็ถูกไล่ออกจากธนาคาร เพราะพฤติการณ์ฉ้อโกงไปก่อนหน้านี้แล้ว
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้มีข้อมูลเพิ่มว่าผู้เสียหายได้มีการแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และมีการจับกุมตัวไปดำเนินคดีมาหลายรอบแล้ว แต่ท้ายสุดนายต่อศักดิ์ก็ประกันตัวออกมาก่อเหตุอีก โดยพบมีนายต่อศักดิ์มีหมายจับข้อหาฉ้อโกงขณะนี้ 3 หมาย และมีผู้เสียหายกว่า 20 คนรวมมูลค่าความเสียหายกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งทางด้านพนักงานสอบสวนกองปราบปรามได้สอบปากคำผู้เสียหายไว้ก่อนเสนอให้ผู้บังคับบัญชาต่อไป.