อนามัยโลก เตือนสายพันธุ์ "โอไมครอน" ไม่ใช่เล่น ๆ ทำผู้ป่วยอาการหนักแล้ว

อนามัยโลก ออกโรงเตือน โควิดสายพันธุ์ใหม่ โอไมครอน สามารถทำให้ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง ซ้ำการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วยังทำให้ผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลมากขึ้น

(15 ธ.ค.) แพทย์หญิงมาเรีย ฟาน เคิร์กโฮฟ หัวหน้าแผนกโรคโควิด-19 ของ องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกโรงเตือนว่า ประเทศต่างๆไม่ควรมองว่า ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ โอไมครอน จะไม่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง เนื่องจากสายพันธุ์ดังกล่าวสามารถทำให้ผู้ป่วยมีอาการหนักได้

"เราทราบว่าผู้ที่ติดเชื้อโอมิครอนสามารถแสดงอาการของโรคได้ทุกอย่าง นับตั้งแต่ไม่มีอาการ หรือมีอาการไม่รุนแรง ไปจนถึงมีอาการหนัก หรือเสียชีวิตได้" แพทย์หญิงฟาน เคิร์กโฮฟระบุ นอกจากนี้ยังย้ำว่า การแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของสายพันธุ์โอไมครอนจะทำให้ผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุข และหากระบบดังกล่าวล่มสลายลง ผู้ป่วยก็จะเสียชีวิตในที่สุด

อนามัยโลก เตือนสายพันธุ์ "โอไมครอน" ไม่ใช่เล่น ๆ ทำผู้ป่วยอาการหนักแล้ว

ทั้งนี้ ความเสี่ยงจากไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนยังคงอยู่ในระดับที่สูงมาก และจำเป็นต้องมีข้อมูลมากขึ้นเพื่อทำความเข้าใจต่อความสามารถของไวรัสดังกล่าวในการหลบหลีกภูมิต้านทานของร่างกายที่ได้รับจากการฉีดวัคซีน หรือจากการที่ร่างกายเคยได้รับเชื้อมาก่อน

ด้านนายทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ของ WHO กล่าววานนี้ (15 ธ.ค.)ว่า ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนกำลังแพร่ระบาดในอัตราที่รวดเร็วกว่าไวรัสสายพันธุ์อื่น และมีแนวโน้มที่จะระบาดไปยังทุกประเทศทั่วโลก

อนามัยโลก เตือนสายพันธุ์ "โอไมครอน" ไม่ใช่เล่น ๆ ทำผู้ป่วยอาการหนักแล้ว

"โอมิครอนกำลังแพร่ระบาดในอัตราความเร็วที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนในไวรัสสายพันธุ์ก่อนหน้านี้ และขณะนี้ได้ระบาดไปยัง 77 ประเทศแล้ว ความจริงก็คือ ขณะนี้โอไมครอนได้ไปยังประเทศส่วนใหญ่ของโลกแล้ว แม้ว่ายังไม่ถูกตรวจพบในบางประเทศก็ตาม"

อนามัยโลก เตือนสายพันธุ์ "โอไมครอน" ไม่ใช่เล่น ๆ ทำผู้ป่วยอาการหนักแล้ว

หัวเรือใหญ่ของ WHO ยังกล่าวต่อไปว่า WHO มีความกังวลต่อการที่ประเทศส่วนใหญ่เข้าใจว่าโอมิครอนเป็นไวรัสที่ไม่ก่อให้เกิดอาการรุนแรง "เราได้เรียนรู้ว่า ที่ผ่านมาเราประเมินไวรัสสายพันธุ์นี้ต่ำเกินไป เพราะต่อให้โอมิครอนไม่ทำให้เกิดอาการรุนแรง แต่การที่สายพันธุ์นี้สามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วก็จะส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขของประเทศที่ไม่ได้เตรียมตัวรับมือมาก่อน"