บุกจับร้านขายซิมเถื่อน หลักฐานแน่นดิ้นไม่หลุด ตัดตอนแก๊งคอลเซ็นเตอร์

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี บุกจับร้านขายซิมโทรศัพท์มือถือเถื่อน ตัดตอนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลังล่อซื้อ

จากกรณี วันที่ 14 ก.ค. 2566 กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์  วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้ ได้สั่งการให้ให้มีตรวจสอบการกระทำความผิดตามสื่อสังคมออนไลน์ ระดมกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งขบวนการซื้อขายซิมผีบัญชีม้า สร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก

 

บุกจับร้านขายซิมเถื่อน หลักฐานแน่นดิ้นไม่หลุด ตัดตอนแก๊งคอลเซ็นเตอร์

สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนหาข่าวการกระทำผิด ลักลอบจำหน่ายซิมการ์ดที่ลงทะเบียนไว้แล้ว (ซิมม้า) จำหน่ายให้แก่นักท่องเที่ยว และบุคคลทั่วไป  โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้วางแผนทำการล่อซื้อซิมการ์ดที่ร้านค้าดังกล่าว  เมื่อซิมการ์ดที่ได้ซื้อมาทำการตรวจสอบซิมเถื่อนดังกล่าว พบว่าเป็นซิมการ์ด หมายเลขโทรศัพท์ 082 748 xxxx เมื่อนำมาใช้ในโทรศัพท์ของเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม พบว่าสามารถใช้งานได้โดยที่ไม่ต้องลงทะเบียน 

บุกจับร้านขายซิมเถื่อน หลักฐานแน่นดิ้นไม่หลุด ตัดตอนแก๊งคอลเซ็นเตอร์

จากนั้นเมื่อตรวจสอบผู้ที่ลงทะเบียน พบว่าได้ทำการลงทะเบียนโดยผู้ที่มี เลขประจำตัวประชาชนลงท้าย 4 ตัว คือ 3219 จึงได้ประสานไปยังเจ้าหน้าที่ กสทช. เพื่อให้มาทำการร่วมตรวจสอบและร่วมสังเกตการณ์ในวันจับกุมในครั้งนี้ด้วย

 

ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้รวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อทำการล่อซื้ออีกหนึ่งครั้งในวันจับกุมโดย มอบให้สายลับเข้าไปทำการขอซื้อ ซิมการ์ดจากร้านโดยมีเจ้าหน้าที่ได้ซุ่มดูอยู่บริเวณหน้าร้าน ขณะนั้นมีนายภูสิน เป็นผู้จำหน่ายซิมการ์ดให้แก่สายลับ  

เมื่อสายลับได้จ่ายเงินและรับมอบซิมการ์ดมาแล้วได้ส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมซึ่งซุ่มดู จากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้แสดงตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ กสทช. เพื่อขอทำการตรวจค้นพบ ซิมการ์ดโทรศัพท์ที่ได้จากการล่อซื้ออยู่กับสายลับ และ ซิมการ์ดโทรศัพท์ จำนวน 17 ซิม

ตรวจยึดในตู้กระจกจุดที่จำหน่ายบริเวณหน้าร้าน ซึ่งผู้ที่เดินผ่านไปมาสามารถมองเห็นได้ชัดเจนและเป็นสินค้าสำหรับจำหน่าย เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ทำการตรวจสอบโดยนำซิมการ์ดที่ได้จากการล่อซื้อมาใช้งานต่อหน้า นายภูสิน พบว่าสามารถโทรออกได้โดยไม่ต้องลงทะเบียน  

บุกจับร้านขายซิมเถื่อน หลักฐานแน่นดิ้นไม่หลุด ตัดตอนแก๊งคอลเซ็นเตอร์

จากนั้นได้มี น.ส.ธวัลรัตน์ ได้แสดงตัวเป็นเจ้าของร้านเมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าซิมการ์ดทั้งหมดได้ลงทะเบียนไว้แล้วโดยใช้ชื่อของ น.ส.ธวัลรัตน์ ซึ่งเป็นเจ้าของร้าน และ น.ส.ธวัลรัตน์ มีเลขประจำตัวประชาชน ซึ่งลงท้าย 4 ตัว คือ 3219 ซึ่งตรงกับผู้ที่ลงทะเบียนซิมการ์ดก่อนหน้านี้ที่เคยซื้อไปแล้วและตรงกับของกลางซิมการ์ดโทรศัพท์ที่ตรวจยึดได้จากการล่อซื้อ 

อีกทั้งยังตรวจพบ ซิมการ์ดโทรศัพท์อีกกว่า จำนวน 297 ชิ้น จึงได้จับกุมตัว น.ส.ธวัลรัตน์ อายุ 48 ปี ผู้ต้องหาที่ 1 ชาวอำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา และ นายภูสิน อายุ 17 ปี ผู้ต้องหาที่ 2 ชาวอำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา โดยผู้ต้องหาที่ 1 กระทำความผิดฐาน "ยินยอมให้บุคคลอื่นใช้หรือยืมใช้เลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตน ทั้งนี้โดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดอาญาอื่นใด" 

และ ผู้ต้องหาที่ 2 กระทำความผิดฐาน "ร่วมกันเป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อหรือขายเลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งลงทะเบียนผู้ใช้บริการในนามของบุคคลหนึ่งบุคคลใดแล้ว แต่ไม่สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการได้" โดยจับกุมตัวได้ที่ร้านค้าในตัวเมือง อ.สะเดา จ.สงขลา

เบื้องต้นผู้ต้องหาที่ 1 ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ในส่วนของผู้ต้องหาที่ 2 ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า "ตนเป็นลูกจ้าง โดยรับค่าจ้างในการขายสินค้าภายในร้าน เป็นเงินรายวัน วันละ 300 บาทต่อวัน ซึ่งสินค้าที่ขายมีซิมการ์ดโทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้องต่างๆ และวันนี้ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการจับกุมให้การรับว่าเป็นคนขายซิมการ์ดของกลาง ให้สายลับจริง"

บุกจับร้านขายซิมเถื่อน หลักฐานแน่นดิ้นไม่หลุด ตัดตอนแก๊งคอลเซ็นเตอร์

ทั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติและท่าน พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ที่ต้องการกวาดล้าง ป้องปรามการลักลอบจำหน่ายซิมผีพร้อมใช้งาน ที่มีการลงทะเบียนเปิดใช้งาน (Active) เป็นชื่อบุคคลอื่น โดยจะจำหน่ายให้กับบุคคลทั่วไป

โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้อาจเป็นพวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือมิจฉาชีพ ที่กบดานอยู่ตามประเทศเพื่อนบ้าน นำไปใช้ในการกระทำความผิดในรูปแบบต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการติดตามจับกุมจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ อันเป็นความผิดตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ  พล.ต.ต.ชรินทร์ โกพัฒน์ตา ผบก.สอท.5 ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.ปณิธาน ยามานนท์ ผกก.2 บก.สอท.5  พร้อมชุดสืบสวนจับกุม