เพื่อนบ้าน อ่วม ทนายกุ้ง เดินหน้าฟ้องเรียกค่าเช่าย้อนหลัง6ปี พร้อมค่าเสียหาย ยันหลักฐานแน่น สิ่งของต่างๆเอามาวางไว้เฉยๆ แต่ไม่มีการมาอยู่จริง ไม่มีเจตนาครอบครอง

คืบหน้ากรณีข้อพิพาทระหว่างเพื่อนบ้านที่ฟ้องปรปักษ์  กับเจ้าของบ้านตัวจริงคือ  นายซัน หลานชาย"อากู๋ เหมทัศน์" โดยที่เกิดเหตุอยู่ที่ทาวน์เฮาส์ 2 ชั้น ซอยรามอินทรา 58 ซึ่งบ้านหลังนี้ได้ปล่อยร้างมานานกว่า 30 ปี กระทั่งมีเพื่อนบ้านเข้าไปต่อเติม และอ้างว่าอยู่อาศัยตั้งแต่ปี 2554 พร้อมอ้างว่าได้กรรมสิทธิ์ครอบครองปรปักษ์ตามกฎหมาย หลังเข้ามาครอบครองเกิน 10 ปีแล้ว

 

ล่าสุด ซัน หลานอากู๋ พร้อม "ทนายกุ้ง"น.ส.อำนวยพร มณีวรรณ์ ทีมทนายความของ ทนายเดชา กิตติวิทยานัน ได้ตัดกุญแจบ้านปรปักษ์ พร้อมให้เจ้าของบ้านตัวจริงเข้าไปอยู่อาศัย และเก็บของกลางเป็นหลักฐาน 

เพื่อนบ้านอ่วม หลานอากู๋-ทนาย ฟ้องเรียกค่าเช่าย้อนหลัง6ปี พร้อมค่าเสียหาย
โดย"ทนายกุ้ง"อำนวยพร เปิดเผยว่า ทรัพย์สินต่างๆภายในบ้านจะต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจยึดไว้เป็นของกลางเป็นหลักฐานและดำเนินคดี เบื้องต้นตอนนี้ 1 คน คือ นางสาวศรีพรรณ ที่แสดงชื่อแสดงตัวติดป้ายอยู่หน้าบ้าน ส่วนใครที่เกี่ยวข้องกับการบุกรุกครั้งนี้จะต้องให้ตำรวจดำเนินคดีหมดทุกคน หากมีการต่อน้ำ ต่อไฟ มาจากบ้านไหนก็ต้องดำเนินคดีด้วยฐานสนับสนุนในการกระทำผิด ส่วนนายซันหลานอากู๋ ก็ได้ขนเสื้อผ้าของใช้จะนอนที่บ้านหลังดังกล่าวแล้ว

เพื่อนบ้านอ่วม หลานอากู๋-ทนาย ฟ้องเรียกค่าเช่าย้อนหลัง6ปี พร้อมค่าเสียหาย

ซึ่ง ทนายกุ้ง บอกอีกว่า ทางเรามีหลักฐานยืนยันได้จริง พร้อมสู้ในศาล หลักฐานจากกูเกิ้ล สตรีท  มีเอาของมาวางไว้เฉยๆเมื่อปี60 แต่ไม่มีการมาอยู่จริง เอาของมาเก็บ ไม่มีเจตนาครอบครอง พร้อมกันนี้ได้ทำการฟ้องเรียกค่าเช่าย้อนหลังไปแล้ว พร้อมทั้งเรียกค่าเสียหาย ในช่วงระยะเวลา 6ปี  ตอนที่บุกรุกเข้ามาอยู่ครั้งแรก
เพื่อนบ้านอ่วม หลานอากู๋-ทนาย ฟ้องเรียกค่าเช่าย้อนหลัง6ปี พร้อมค่าเสียหาย

เพื่อนบ้านอ่วม หลานอากู๋-ทนาย ฟ้องเรียกค่าเช่าย้อนหลัง6ปี พร้อมค่าเสียหาย
ด้าน นายซัน  กล่าวว่า ตนเองและภรรยา ในฐานะผู้ได้รับมอบอำนาจ จากอากู๋ ประสงค์ที่จะดำเนินคดีกับ น.ส.ศรีพรรณ พร้อมกับพวกที่มีการบุกรุกเข้าไปในบ้านพิพาทหลังดังกล่าว ประกอบอาหาร ขายไก่ตะเกียบทอดน้ำปลา ในคดีฐานบุกรุก ลักทรัพย์และทำให้เสียทรัพย์ 

เพื่อนบ้านอ่วม หลานอากู๋-ทนาย ฟ้องเรียกค่าเช่าย้อนหลัง6ปี พร้อมค่าเสียหาย

ซึ่งตนเองมองว่าเกินที่จะเจรจาไกล่เกลี่ยกันได้แล้ว เพราะรอบนี้ถือว่าเป็นการบุกรุกครั้งที่ 2 ถึงต้องมีการดำเนินคดีเพิ่มเติม โดยตนเองได้เก็บหลักฐานไว้หมดแล้วว่ามีใครเป็นผู้บุกรุกบ้าง ไม่กังวลหากทางคู่กรณีไม่แสดงตัวหรือปฏิเสธ เพราะมีหลักฐานชัดเจน ทั้งชื่อนามสกุลและตัวบุคคล