"แอมเนสตี้ฯ" เผยความจริง หลัง "ฮุน เซน" ลั่น กัมพูชาเป็นเหยื่อ

เกินคาด "แอมเนสตี้ฯ" เปิดเผยความจริงแล้ว หลัง "ฮุน เซน" บอกปัด ไม่ใช่เมืองแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ลั่น กัมพูชาเป็นเหยื่อ

หลังจากที่มีรายงานว่า สมเด็จเตโช ฮุนเซน ผู้นำอาวุโสของกัมพูชา ชี้ว่า อาชญากรรมออนไลน์ที่เกิดขึ้นในกัมพูชามีต้นตอมาจากประเทศไทย โดยกล่าวว่ากัมพูชาเป็นเพียง “เหยื่อ” ของขบวนการฉ้อโกง ซึ่งอาศัยช่องทางการเดินทางจากไทยที่มีเที่ยวบินเชื่อมต่อหลากหลาย ทำให้คนร้ายสามารถเข้ามาดำเนินกิจกรรมผิดกฎหมายในกัมพูชาได้สะดวก พร้อมระบุว่าชื่อเสียงของกัมพูชาต้องเสียหายเพราะพฤติกรรมของกลุ่มมิจฉาชีพที่เดินทางผ่านไทยเข้ามาในประเทศ

 

"แอมเนสตี้ฯ" เผยความจริง หลัง "ฮุน เซน" ลั่น กัมพูชาเป็นเหยื่อ

เกี่ยวกับเรื่องนี้ทาง “แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล” หรือ องค์กรนิรโทษกรรมสากล ซึ่งเป็นกลุ่มสิทธิมนุษยชนชื่อดัง กล่าวหารัฐบาลกัมพูชาว่า "จงใจเพิกเฉย" ต่อการละเมิดโดยกลุ่มอาชญากรทางไซเบอร์ที่ค้ามนุษย์จากทั่วโลก รวมทั้งเด็ก ๆ เพื่อเป็นทาสในศูนย์สแกมเมอร์ในกัมพูชา ซึ่งมีอยู่ถึง 53 แห่ง และอีกหลายที่ต้องสงสัยทั่วประเทศ รวมถึงกรุงพนมเปญ เมืองหลวงของประเทศด้วย


สถานที่เหล่านี้มีสภาพคล้ายเรือนจำ ล้อมรอบด้วยรั้วสูงพร้อมลวดหนาม มีชายติดอาวุธเฝ้าอยู่ และมีเหยื่อค้ามนุษย์ที่ถูกบังคับให้หลอกลวงผู้คนทั่วโลก โดยผู้ที่อยู่ภายในต้องรับโทษต่าง ๆ เช่น ถูกไฟฟ้าช็อต ถูกขังในห้องมืด และถูกทุบตี

 

แอมเนสตี้ระบุว่า ผลการค้นพบเผยให้เห็นรูปแบบความล้มเหลวของรัฐกัมพูชา ที่ทำให้ภาคอุตสาหกรรมมูลค่าพันล้านดอลลาร์แห่งนี้เฟื่องฟูได้ ซึ่งรวมถึงความล้มเหลวในการสืบสวนการละเมิดสิทธิมนุษยชน ล้มเหลวในการช่วยเหลือเหยื่อ ล้มเหลวในการควบคุมเหล่าบรรดา “บริษัทรักษาความปลอดภัย” ที่ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมนี้ และล้มเหลวในการควบคุมการใช้เครื่องมือต่าง ๆ ที่ถูกแก๊งเหล่านี้นำไปใช้ทรมานเหยื่อ

 

"แอมเนสตี้ฯ" เผยความจริง หลัง "ฮุน เซน" ลั่น กัมพูชาเป็นเหยื่อ

แม้ว่ารัฐบาลกัมพูชาจะเข้าทำการบุกจับ และปล่อยตัวแรงงานที่ถูกค้ามนุษย์บางส่วนอยู่บ้างเมื่อไม่นานมานี้ แต่แอมเนสตี้ระบุว่า พบว่าสถานที่หลอกลวงมากกว่าสองในสามแห่งยังไม่ถูกสอบสวนจากตำรวจ หรือไม่ก็ยังคงดำเนินการต่อไปแม้ว่าตำรวจจะเข้ามาแทรกแซงแล้วก็ตาม โดยในระหว่างการบุกจับนั้น ตำรวจกัมพูชาไม่ได้เข้าไปภายในสถานที่ แต่กลับแค่พบกับตัวแทนของกลุ่มสแกมเมอร์ที่ส่งมอบเฉพาะเหยื่อที่ร้องขอความช่วยเหลือเท่านั้น ขณะที่ผู้รอดชีวิตบางคนถูกเจ้านายทุบตีหลังจากพยายามติดต่อตำรวจ


นายอักเนส คัลลามาร์ด เลขาธิการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าวว่า “ผู้รอดชีวิตจากกลุ่มค้ามนุษย์เหล่านี้ถูกหลอกลวง ค้ามนุษย์ และตกเป็นทาส พวกเขาเปรียบเสมือนกับติดอยู่ในฝันร้ายที่ยังไม่ตาย พวกเขาถูกชักจูงให้เข้าร่วมองค์กรอาชญากรรมที่ดำเนินการโดยได้รับความยินยอมอย่างชัดเจนจากรัฐบาลกัมพูชา”


แอมเนสตี้ระบุว่า กัมพูชากลายเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมการหลอกลวงระดับโลกในช่วงที่เกิดการระบาดของโควิด-19 เนื่องจากกลุ่มอาชญากรที่นำโดยชาวจีนส่วนใหญ่ได้นำคาสิโนและโรงแรมที่ไม่ได้ใช้งานมาใช้เป็นศูนย์หลอกลวง ซึ่งมีผู้คนอาศัยอยู่มากถึง 100,000 คน ซึ่งพื้นที่ใกล้เคียงที่คล้ายคลึงกันนี้เคยเฟื่องฟูอยู่ทั้งในเมียนมาและลาวด้วย
ตามข้อมูลของสถาบันสันติภาพแห่งสหรัฐอเมริกา อุตสาหกรรมนี้ในกัมพูชาสร้างรายได้มากกว่า 12,500 ล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งคิดเป็นครึ่งหนึ่งของ GDP ทั้งหมดของประเทศ

"แอมเนสตี้ฯ" เผยความจริง หลัง "ฮุน เซน" ลั่น กัมพูชาเป็นเหยื่อ


แอมเนสตี้ระบุว่า กลุ่มอาชญากรล่อลวงเหยื่อค้ามนุษย์ด้วยข้อเสนองานปลอมที่โพสต์บนโซเชียลมีเดีย จากนั้นจึงบังคับให้เหยื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางการเงินทางออนไลน์ รวมถึงการแสดงความรักปลอม ๆ หรือแผนการ "ฆ่าหมู" ซึ่งผู้หลอกลวงจะสร้างความไว้วางใจกับเหยื่อก่อนจะหลอกเงิน

 

แอมเนสตี้ระบุว่า ผู้รอดชีวิต 9 ใน 58 คนที่แอมเนสตี้สัมภาษณ์นั้นเป็นเด็ก รวมถึงเด็กชายวัย 16 ปีจากประเทศจีนที่ถูกเตะและห้ามออกจากพื้นที่ และมีเด็กชายชาวจีนคนหนึ่งเสียชีวิตในคอมเพล็กซ์แห่งหนึ่งแล้ว


ส่วนผู้รอดชีวิตชาวไทยวัย 18 ปีคนหนึ่งให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าเขาถูกค้ามนุษย์ไปยังคอมเพล็กซ์แห่งหนึ่งในกรุงพนมเปญในปี 2566 จากนั้นเมื่อเขาพยายามออกจากพื้นที่ เขาก็ถูกขายไปยังคอมเพล็กซ์อื่นใกล้กับชายแดนเวียดนาม ชายคนดังกล่าวซึ่งขอไม่เปิดเผยชื่อ ถูกบังคับให้ใช้ซอฟต์แวร์วิดีโอปลอมเพื่อปลอมตัวเป็นชายสูงวัยหน้าตาดีเพื่อล่อลวงให้ผู้หญิงไทยมอบเงินให้ หลังจากผ่านไปเกือบปี เขาก็กระโดดออกจากหน้าต่างจนได้รับบาดเจ็บ และหลบหนีไปได้หลังจากซ่อนตัวอยู่ในโรงพยาบาล
 

"แอมเนสตี้ฯ" เผยความจริง หลัง "ฮุน เซน" ลั่น กัมพูชาเป็นเหยื่อ