- 29 ส.ค. 2568
พ่อถูกลูกชายเนรคุณรวมหัวกับอาและเพื่อนสนิททนาย ปลอมเอกสารโอนบ้าน-ที่ดินกว่า 3 ล้านบาท ร้องกองปราบ เล่าทั้งน้ำตา
เวลา 11.40 น. วันที่ 29 ส.ค. 68 ที่ บช.ก. จ่าคิงส์ แตงทิม สะพานใหม่ พา นายสรคม อดีตพนักงานขับรถองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) อายุ 65 ปี ชาวจังหวัดนครพนม เข้าพบพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม เพื่อร้องขอความเป็นธรรม กรณีถูกลูกชายแท้ๆรวมหัวโกงจนหมดตัว โดยลูกชาย วัย 34 ปี รวมหัวกับอาสาว และเพื่อนที่เป็นทนายความ ปลอมแปลงเอกสารโอนทรัพย์สินทั้งหมดของตน ซึ่งประกอบด้วยบ้านทาวน์เฮ้าส์ 3 ชั้น ขนาด 19 ตร.ว. ย่านมีนบุรี และที่ดิน 2-3 ไร่ ที่ จ.นครพนม รวมมูลค่ากว่า 3 ล้านบาท จนตัวเองกลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว
นายสรคม เปิดเผยด้วยน้ำตาว่า ตนทำงานขับรถ ขสมก. มาตลอดชีวิตเพื่อเลี้ยงดูและส่งเสียลูกชายเพียงคนเดียวตั้งแต่เกิด เมื่อถึงวัยเกษียณตั้งใจจะใช้ชีวิตอย่างสงบกับบ้านและที่ดินที่ซื้อไว้ แต่กลับพบว่าทรัพย์สินทั้งหมดถูกโอนไปเป็นชื่อของลูกชายโดยที่ตนไม่เคยรับรู้ เมื่อสอบถามลูกชายกลับถูกปฏิเสธและท้าทายให้ไปแจ้งความ
เหตุการณ์นี้สร้างความสะเทือนใจและทำให้ตนเครียดหนักจนคิดสั้นฆ่าตัวตาย เพราะนอกจากสูญเสียทรัพย์สินที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงแล้ว ยังต้องเผชิญความเจ็บปวดจากการถูกลูกชายในไส้หักหลัง
นายสรคม เคยแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.ธาตุพนม ตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม และกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2567 ซึ่งวันนี้ครบ 1 ปี แต่คดีไม่คืบหน้า ด้วยความสิ้นหวัง จึงตัดสินใจมาร้องขอความช่วยเหลือจากจ่าคิงส์ เพื่อเป็นสื่อกลางนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และเตรียมเข้าแจ้งความที่กองบังคับการปราบปรามเพื่อดำเนินคดีกับลูกชายต่อไป
นายสรคม เล่าว่า เมื่อปี 2567 เตรียมทำตลาดสดบนที่ดินราว 3 ไร่ที่ถมไว้ แต่เมื่อต้องใช้โฉนดไปยื่นติดต่อเทศบาล กลับถูกน้องสาวบอกว่าโฉนดหายไป เมื่อตรวจสอบที่กรมที่ดิน พบว่าที่ดินถูกโอนเป็นชื่อลูกชายเรียบร้อยโดยที่ตนไม่เคยเซ็นเอกสารใด ๆ
ต่อมาพบว่าทาวน์เฮ้าส์ 21.9 ตร.ว. ย่านมีนบุรี ที่ซื้อไว้กว่า 30 ปีก่อนให้ลูกชายอยู่อาศัย ก็ถูกโอนเป็นชื่อลูกชายเช่นกัน โดยที่ตนไม่เคยรับรู้หรือเซ็นยินยอม
นายสรคม เข้าแจ้งความที่ สภ.ธาตุพนม ก่อนคดีโอนไป สน.มีนบุรี แต่ไม่คืบหน้า และเมื่อไปติดต่อกรมที่ดินมีนบุรีก็ถูกปฏิเสธ การเปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนและร้อยเวรที่รับคดีแทนก็ไม่ดำเนินการ จนปัจจุบันตนต้องไปอาศัยบ้านพี่สาวภรรยา และใช้เงินเกือบล้านบาทจ้างทนายสู้คดี
นายสรคม ย้ำว่า ต้องการความยุติธรรมจากกองปราบปราม เพื่อพิสูจน์ลายเซ็นปลอมและดำเนินคดีกับลูกชาย พร้อมเรียกร้องให้สังคมให้กำลังใจ เพราะขณะนี้ตนไม่มีที่อยู่อาศัยเหลืออยู่






