- 22 ก.ย. 2568
หมอเจด ชี้ชัด! น้ำผึ้งไม่ได้ดีต่อเบาหวานอย่างที่คิด เจาะปลายนิ้วไม่ขึ้นเพราะเครื่องมองไม่เห็นฟรุกโตส ไม่ได้ปลอดภัย
"หมอเจด" นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา ได้ออกมาโพสต์ข้อความระบุว่า
“น้ำผึ้ง” ดีต่อเบาหวานจริงไหม ปลอดภัยจริงหรอ?
หลายคนชอบเลือก น้ำผึ้งแทนน้ำตาล เพราะเชื่อว่าธรรมชาติกว่า ปลอดภัยกว่า
แต่จริง ๆ แล้วทุกวันนี้ น้ำผึ้งที่ขายกันมีทั้งแบบแท้ และแบบผสมที่ใส่น้ำเชื่อมหรือไซรัปลงไป หน้าตาเหมือนกันจนแยกแทบไม่ออกเลยครับ
ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ บางคนบอกว่า “กินน้ำผึ้งแล้วเจาะปลายนิ้ว น้ำตาลไม่ขึ้น → ดีต่อเบาหวาน”
วันนี้ผมเลยอยากเล่าแบบเข้าใจง่าย ๆ ว่า จริง ๆ แล้วน้ำผึ้งมันดีกับร่างกายเราจริงไหม รวมถึงเครื่องวัดน้ำตาลมันทำงานยังไง
1.น้ำผึ้งแท้ต่างจากน้ำผึ้งผสมยังไง?
น้ำผึ้งแท้จากรังผึ้งจริง ๆ ข้างในจะมีน้ำตาลหลัก ๆ อยู่ 2 ตัวคือ
• ฟรุกโตส (Fructose) ประมาณ 38–42%
• กลูโคส (Glucose) ประมาณ 30–35%
สองตัวนี้ทำให้น้ำผึ้งแท้มีรสหวานเฉพาะตัว และยังมีสารดี ๆ อย่างสารต้านอนุมูลอิสระกับเอนไซม์ที่ผึ้งสร้างขึ้นมาเพิ่มคุณค่าให้ด้วย
แต่ในท้องตลาด น้ำผึ้งที่เราเห็นไม่ใช่ว่าจะ “แท้หมดทุกขวด” หลายเจ้ามักผสมน้ำเชื่อมราคาถูกเข้าไป
โดยเฉพาะ HFCS (High Fructose Corn Syrup) หรือบางทีก็แค่น้ำตาลทรายละลาย น้ำผึ้งแบบนี้หน้าตาและรสชาติแทบไม่ต่างจากของจริงเลย แต่จริง ๆ คือ “ไซรัปผสมน้ำผึ้ง” ที่หวานแรงกว่าและเสี่ยงกว่าด้วย
2. แล้วทำไมเจาะปลายนิ้วแล้วน้ำตาลไม่ขึ้น?
ต้องเข้าใจก่อนว่าเครื่องเจาะปลายนิ้วที่เราใช้กัน
มันถูกออกแบบมาให้ตรวจจับ “กลูโคส” เท่านั้น โดยใช้เอนไซม์ที่ทำงานกับกลูโคสโดยตรง
→ แปลว่า ถ้าในเลือดมี ฟรุกโตส อยู่ เครื่องจะ มองไม่เห็น
ทีนี้ น้ำผึ้งผสม HFCS จะมีฟรุกโตสเยอะมาก พอเรากินเข้าไป เลือดก็เต็มไปด้วยฟรุกโตส แต่พอเจาะปลายนิ้ว เครื่องดันไม่ขึ้น
ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่า “อ้าว กินแล้วน้ำตาลไม่ขึ้นนี่นา ก็น่าจะดีนะ” ทั้งที่จริง ๆ ร่างกายเรารับพลังงานเข้าไปเต็ม ๆ แล้ว
3. ฟรุกโตสมันหายไปไหน?
ฟรุกโตสไม่ได้หายไปไหนครับ แต่มันมีเส้นทางของมันต่างจากกลูโคส
• เมื่อกินเข้าไป ฟรุกโตสจะถูกส่งตรงไปที่ ตับ
• บางส่วนถูกเปลี่ยนเป็นกลูโคสไว้ใช้เป็นพลังงาน
• บางส่วนเก็บไว้ในรูปไกลโคเจน
• ถ้าเกินความจำเป็น ตับจะเปลี่ยนเป็น ไขมันใหม่ (de novo lipogenesis) → ไขมันในเลือดสูง ไตรกลีเซอไรด์พุ่ง
ระยะยาวอาจทำให้เกิด ไขมันพอกตับ และ ดื้อต่ออินซูลิน สรุปง่าย ๆ คือ ถึงเครื่องจะไม่โชว์ตัวเลข แต่ตับทำงานหนักขึ้น และถ้ากินบ่อย ๆ ความเสี่ยงสุขภาพก็ตามมาเพียบ
4. ความเข้าใจผิดที่เจอบ่อย ๆ
ประเด็นนี้เองที่เอาไปโฆษณาว่า “กินน้ำผึ้งแล้วน้ำตาลไม่ขึ้น คนเป็นเบาหวานกินได้”
แต่ความจริงคือ เครื่องวัดมองไม่เห็นฟรุกโตส เท่านั้นเอง ไม่ได้แปลว่าร่างกายไม่โดนผลกระทบ
• พลังงานยังเข้ามาเต็ม ๆ
• ตับยังต้องแปลงและเก็บ
• ไขมันในเลือดก็มีสิทธิ์สูงขึ้น
• เบาหวานก็ยังเสี่ยงคุมโรคไม่ได้เหมือนเดิม
พูดง่าย ๆ คือ “ตัวเลขในเครื่อง” ดูเหมือนปลอดภัย แต่ร่างกายจริง ๆ ไม่ได้ปลอดภัยเลย
5. สิ่งที่อยากฝากไว้ ไม่ว่าจะของแท้หรือของปลอม ก็ต้องระวัง
น้ำผึ้งแท้ กินพอได้ แต่ต้องมั่นใจว่าเป็นของแท้จริง ๆ ไม่ใช่แบบผสมไซรัป และอย่าลืมว่าน้ำผึ้งก็คือ “น้ำตาลอิสระ (free sugar)” อยู่ดี กินเยอะไปก็ทำให้พลังงานเกินได้
•น้ำผึ้งผสม HFCS ถึงจะทำให้เจาะปลายนิ้วแล้วเหมือนน้ำตาลไม่ขึ้น แต่จริง ๆ แค่ เครื่องถูกหลอก เท่านั้น ตับยังทำงานหนักเหมือนเดิม
•ของแท้ก็ไม่ได้ปลอดภัยถ้ากินเยอะ: 1 ช้อนชา ≈ 7 กรัม ≈ ~21 kcal / 1 ช้อนโต๊ะ ≈ 21 กรัม ≈ ~64 kcal เติมไม่กี่ครั้งแคลอรีก็พุ่งแล้ว
•คนเป็นเบาหวาน ไม่ควรใช้ “เจาะแล้วไม่ขึ้น = ปลอดภัย” เป็นเกณฑ์ตัดสิน ต้องดู น้ำตาลรวมทั้งวัน และภาระต่อตับ/ไขมันในเลือดด้วย
•ทริคใช้งานจริง: ถ้าอยากกิน กินแค่แตะ ๆ 1–2 ช้อนชา/มื้อพอให้ชื่นใจ กินคู่กับโปรตีนหรือไฟเบอร์จะช่วยลดการเหวี่ยงของน้ำตาล และควรเลี่ยงก่อนนอนหรือหลังมื้อใหญ่
•ข้อควรระวังเพิ่ม: เด็กอายุต่ำกว่า 1 ปีงดน้ำผึ้งทุกกรณี (เสี่ยงโบทูลิซึม) ส่วนผู้ใหญ่ก็ควรระวังฟันผุเพราะความเหนียวและน้ำตาลสูง
สรุปคือ น้ำผึ้งบางชนิด โดยเฉพาะแบบผสมไซรัปฟรุกโตสสูง อาจทำให้เจาะปลายนิ้วแล้วน้ำตาลไม่ขึ้น
แต่ร่างกายยังได้รับน้ำตาลและพลังงานเต็ม ๆ อยู่ดี ไม่ได้ปลอดภัย โดยเฉพาะกับคนเป็นเบาหวาน
และถึงจะเป็น น้ำผึ้งแท้ ถ้ากินเยอะก็เสี่ยงพลังงานเกิน ไขมันในเลือดสูง และภาระต่อตับเหมือนกัน
ย้ำอีกครั้งนะครับ ไม่ได้ห้ามกิน แต่ต้องรู้วิธีเลือกและจำกัดปริมาณให้เหมาะสม






