- 30 ก.ย. 2568
เปิดนโยบาย "ศุภจี" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ชี้แจงต่อรัฐสภาครั้งแรก เดินหน้าลดค่าครองชีพ ดูแลเกษตรกร ดันเจรจาการค้าสหรัฐฯ และ FTA
KEY
POINTS
- เร่งเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ (ART) ให้เสร็จสิ้นภายในปีนี้ พร้อมผลักดัน FTA กับสหภาพยุโรปและเกาหลีใต้ รวมถึงใช้มาตรการป้องกันการทุ่มตลาดและสินค้าด้อยคุณภาพจากต่างประเทศ
- ดำเนินมาตรการลดค่าครองชีพผ่านโครงการธงฟ้า ควบคุมราคายาและเวชภัณฑ์ พร้อมทั้งปราบปรามธุรกิจนอมินีและปัญหาสินค้าราคาถูกที่ไม่ได้มาตรฐาน
- บริหารจัดการสินค้าเกษตรโดยเฉพาะข้าว โดยออกมาตรการเร่งด่วน 4 ข้อเพื่อรองรับผลผลิตส่วนเกิน เช่น สินเชื่อชะลอการขาย และการช่วยเหลือเกษตรกร พร้อมเร่งผลักดันการส่งออกข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G2G) ไปยังตลาดสำคัญ
ท่ามกลางเสียงชื่นชมอย่างล้นหลาม กับการที่ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ได้เปิดตัวครั้งแรกในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ด้วยการแถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภา พร้อมตอบข้อซักถามต่างๆ ได้อย่างน่าประทับใจ จนได้การยอมรับจากประชาชน รวมทั้ง สื่อมวลชน และ สมาชิกสภา (สส.) ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
โดยเมื่อวันที่ 29ก.ย.68 นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้แถลงต่อที่ประชุมรัฐสภาในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาเรื่องด่วน คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
นางศุภจี ชี้แจงถึงนโยบายและภารกิจสำคัญของรัฐบาล และกระทรวงพาณิชย์ต่อสมาชิกรัฐสภา ในประเด็นการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ มาตรการลดค่าครองชีพ ป้องกันสินค้าด้อยคุณภาพจากต่างประเทศทะลัก-นอมินี การเพิ่มขีดความสามารถ SME และการดูแลสินค้าเกษตร
- การเจรจากับสหรัฐฯ-ภาษีทรัมป์
พร้อมเผยถึงความคืบหน้าการเจรจาภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) กับสหรัฐฯ ว่า ไทยสามารถสรุปแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 เนื่องจากรัฐบาลมีเวลาในการทำงานจำกัด ไทยจะเร่งสรุปผลการเจรจาจัดทำความตกลง การค้าต่างประเทศ (Agreement on Reciprocal Trade: ART) ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะครอบคลุมทั้งการเปิดตลาดสินค้า บริการ และ การลงทุน โดยจะดำเนินการเจรจาอย่างรอบคอบ เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อภาคการผลิตและตลาดในประเทศ
นอกจากนี้กระทรวงพาณิชย์ได้ให้กรมการค้าต่างประเทศเป็นหน่วยงานเดียวที่ออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O) สำหรับการส่งออกไปสหรัฐฯ เพิ่มรายการสินค้าเฝ้าระวังเป็น 65 รายการ และใช้ AI ตรวจสอบถิ่นกำเนิด รวมไปถึงออกมาตรการป้องกันการปลอมแปลงเอกสารอย่างเข้มงวด ส่งผลให้จำนวนการปลอม Form C/O ลดลงอย่างชัดเจน ก่อนการใช้ระบบการป้องกันการปลอมแปลง ได้พบการปลอมแปลงเป็นจำนวนมากจริง คือ ปี 2565 พบการปลอม 149 ฉบับ ปี 2566 พบการปลอม 168 ฉบับ
แต่เมื่อนำระบบการป้องกันการปลอมแปลงมาใช้ในปี 2567 พบการปลอมแปลงเพียง 5 ฉบับ และ ในปี 2568 ยังไม่พบการปลอมแปลงเลย
ปัจจุบันไทยใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) จำนวน 31 กรณี ขณะที่ไทยถูกใช้มาตรการนี้จากต่างประเทศรวม 73 กรณี ส่วน มาตรการหลบเลี่ยง (AC) ไทยใช้ 6 กรณี และถูกใช้กับไทย 4 กรณี สำหรับ มาตรการปกป้อง (SG) ยังอยู่ระหว่างการไต่สวน ส่วน มาตรการตอบโต้การอุดหนุน (CVD )ไทยยังไม่ได้ใช้เอง แต่มีการถูกใช้จากต่างประเทศ เช่น สหรัฐฯ 7 กรณี เพื่อช่วยผู้ประกอบการไทยให้มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพในการดำเนินการ กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดแนวทางปรับปรุงกระบวนการดังนี้
1.ลดระยะเวลาการรับคำร้องจากเดิม 4 เดือน เหลือ 1 เดือน
2.ใช้เทคโนโลยี AI วิเคราะห์และตรวจสอบข้อมูลจำนวนมาก เพิ่มความแม่นยำและความรวดเร็ว
3.ลดเวลาการไต่สวนจาก 12 เดือน เหลือ 9 เดือน มาตรการเหล่านี้จะช่วยให้กระบวนการตรวจสอบและปกป้องการค้าของไทยรวดเร็วขึ้น ช่วยผู้ประกอบการไทยรับมือการทุ่มตลาดและปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
และเรื่องแก้ปัญหาสินค้าด้อยคุณภาพทะลักจากต่างประเทศและธุรกิจนอมินี กระทรวงพาณิชย์ภายใต้คณะกรรมการฯ ร่วมกับ 16 หน่วยงาน สามารถจัดเก็บ VAT จากสินค้านำเข้ารายย่อยกว่า 2,175 ล้านบาท ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด 81,719 คดี ตรวจสอบสินค้าออนไลน์กว่า 54,000 รายการ พร้อมใช้ AI กำกับดูแลตลาดอีคอมเมิร์ซ และเข้มงวดปราบปรามธุรกิจนอมินี
- ลดค่าครองชีพประชาชน
พร้อมกันนี้จะเดินหน้าลดค่าครองชีพประชาชน จัดโครงการมหกรรมธงฟ้าและลดราคาสินค้ากว่า 1,300 ครั้ง ช่วยลดค่าครองชีพกว่า 5,000 ล้านบาท และร่วมมือโรงพยาบาลเอกชนเปิดเผยค่ายา และให้ประชาชนซื้อยาจากร้านภายนอกโรงพยาบาลได้ ลดค่าใช้จ่ายรวม 32,400 ล้านบาท พร้อมควบคุมราคายาและเวชภัณฑ์จำเป็นอีกกว่า 1,100 ล้านบาท
- ยกระดับสินค้าเกษตร-ข้าว
สำหรับข้าวในปีการผลิต 2568/69 โลกมีผลผลิตข้าวรวม 541 ล้านตัน ใกล้เคียงกับความต้องการบริโภคที่ 542 ล้านตัน แต่ยังมีสต๊อกคงเหลือกว่า 187 ล้านตัน ขณะเดียวกันอินเดียเร่งระบายข้าวค้างสต๊อกกว่า 20 ล้านตันออกสู่ตลาดโลกในราคาต่ำ และประเทศผู้นำเข้าหลักอย่างอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ก็จำกัดการนำเข้า ส่งผลให้เกิดภาวะอุปสงค์อุปทานไม่สมดุล ราคาข้าวในตลาดโลกถูกกดดันและส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกของไทย
และประเทศไทย ข้าวปีนี้จะมีผลผลิตรวม 21.8 ล้านตัน และเมื่อรวมกับสต๊อกต้นปี 3.5 ล้านตัน จะมีข้าวทั้งหมด 25.3 ล้านตัน ในจำนวนนี้เป็นข้าวหอมมะลิ 6.8 ล้านตัน ซึ่งยังคงเป็นจุดแข็งที่ตลาดทั้งในและต่างประเทศมีความต้องการสูง ส่วนการบริโภคภายในประเทศอยู่ที่ 7.4 ล้านตัน การส่งออก (ไม่รวมข้าวหอมมะลิ) ประมาณ 5.9 ล้านตัน และต้องสำรองเพื่อความมั่นคงและเก็บเป็นเมล็ดพันธุ์ราว 3.4 ล้านตัน ทำให้เหลือข้าวส่วนเกินประมาณ 1.8 ล้านตัน ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญในการบริหารจัดการต่อไป
โดยรัฐบาลได้เตรียมแนวทางรับมือทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยระยะยาวจะให้ความสำคัญกับการปรับปรุงพันธุ์ข้าว การเพิ่มผลผลิตต่อไร่ การลดต้นทุนการผลิต และการปลูกข้าวให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลก รวมถึงการส่งเสริมการปลูกพืชเสริมที่มีมูลค่าสูง เช่น อะโวคาโดในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรจากการปลูกแซมในสวนลำไยประมาณ 60,000–80,000 บาทต่อไร่ต่อปี
ส่วนมาตรการเร่งด่วนในช่วง 4 เดือน รัฐบาลได้เตรียมรองรับผลผลิตรวม 8.5 ล้านตัน ผ่าน 4 มาตรการหลัก ได้แก่
(1) สินเชื่อชะลอการขาย 3 ล้านตัน เพื่อดูดซับผลผลิตไม่ให้เข้าสู่ตลาดเร็วเกินไป
(2) สินเชื่อสนับสนุนสถาบันเกษตรกรในการรวบรวมและแปรรูป 1.5 ล้านตัน
(3) เพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการค้าข้าวเพื่อเก็บสต๊อก 4 ล้านตัน
(4) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรไร่ละ 1,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 10 ไร่ พร้อมมาตรการลดต้นทุนการผลิต เช่น ลดราคาปุ๋ยและสารเคมีการเกษตรผ่าน “ธงเขียว” ทั่วประเทศ
- การส่งออกข้าวแบบรัฐต่อรัฐ
ในด้านการส่งออก รัฐบาลเร่งเจรจาผลักดันการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G2G) โดยเฉพาะกับจีน ภายใต้ MOU เดิม 280,000 ตัน และเสนอขยายเป็น 500,000 ตันในโอกาสครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน พร้อมทั้งเร่งจัดทำ MOU ใหม่กับสิงคโปร์ รวมทั้งการรักษาตลาดเดิมกับญี่ปุ่นไม่น้อยกว่าปีละ 300,000 ตัน และขยายตลาดใหม่อย่าง ซาอุดีอาระเบีย รวมถึงการผลักดันข้าวอินทรีย์ในยุโรปและข้าวหอมมะลิในสหรัฐอเมริกา
- มาตรการชายแดนไทย-กัมพูชา
และเร่งช่วยเหลือผู้ประกอบการ 7 จังหวัดชายแดนไทย–กัมพูชา ดำเนินมาตรการบรรเทาผลกระทบ ทั้งการจัดงานธงฟ้าราคาประหยัดเพื่อลดค่าครองชีพ การเพิ่มช่องทางตลาดให้เกษตรกรและผู้ประกอบการใน 7 จังหวัดชายแดน ผ่านงานมหกรรมธงฟ้าในจังหวัดอื่น รวมทั้งกิจกรรมจำหน่ายสินค้าออนไลน์ผ่านไปรษณีย์ไทย สนับสนุนผู้ส่งออกหาช่องทางใหม่ ผ่านการจับคู่ธุรกิจกับผู้ให้บริการโลจิสติกส์และเข้าร่วมมหกรรมการค้าชายแดนในพื้นที่อื่นๆ
- FTA ระหว่าง ไทยกับอียู และ ไทยกับเกาหลีใต้
ในส่วนของ FTA จะเร่งบรรลุข้อตกลง FTA ระหว่างไทยกับอียู ไทยกับเกาหลีใต้ โดยจะพยายามทำให้ได้ภายในรัฐบาลนี้และที่สำคัญต้องผลักดันให้เอกชนมาใช้สิทธิประโยชน์ เพราะการไปเจรจา FTA มากประเทศก็ไม่ได้มีประโยชน์ ถ้าเราไม่ได้ใช้สิทธิประโยชน์ โดยจะเร่งรัดสนับสนุนให้ความรู้ในการให้สิทธิประโยชน์กับภาคเอกชนใช้ได้จริงและหาตลาดใหม่เพิ่มเติมทั้งตะวันออกกลาง ซาอุดีอาระเบีย แอฟริกา อาเซียน และเอเชียใต้






