อาการชา ต่างจาก เหน็บชา อย่างไร พร้อม 4 ความเชื่อผิด ๆ ที่คุณต้องรู้

สัมผัสถึงอาการ ชาปลายมือปลายเท้า บ่อย ๆ ใช่เรื่องปกติไหม? ทำความเข้าใจความแตกต่างของ อาการชา กับ เหน็บชา พร้อมเปิด 4 ความเชื่อด้านสุขภาพที่มักถูกแชร์ต่อกันมา

หลายคนคงคุ้นเคยกับความรู้สึก เหน็บชา ที่เกิดขึ้นหลังจากการนั่งหรือนอนในท่าเดิมนาน ๆ ซึ่งพอขยับตัวแล้วอาการก็หายไปได้เอง ทำให้เรามักเหมารวมว่า อาการชา ทุกรูปแบบเป็นเรื่องปกติที่ใคร ๆ ก็เป็นกัน

 

แต่แท้จริงแล้ว อาการไม่พึงประสงค์อย่าง อาการชาปลายมือปลายเท้า หรือความรู้สึก ชา ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย อาจไม่ใช่แค่เรื่องเล็กน้อย เพราะมันคือสัญญาณบ่งบอกถึงความผิดปกติของระบบประสาทที่ซ่อนอยู่ บทความนี้จะช่วยให้คุณแยกความแตกต่างระหว่าง อาการชา และ เหน็บชา อย่างถูกต้อง พร้อมตีแผ่ 4 ความเชื่อผิด ๆ ที่คุณควรหยุดแชร์ต่อทันที

 

อาการชา ต่างจาก เหน็บชา อย่างไร พร้อม 4 ความเชื่อผิด ๆ ที่คุณต้องรู้

จุดที่มักเข้าใจผิด: อาการชา และ เหน็บชา ไม่เหมือนกัน

 

ความแตกต่างที่ชัดเจน: อาการชา กับ เหน็บชา

แม้จะถูกนำมาใช้แทนกันบ่อยครั้ง แต่ในทางการแพทย์แล้ว อาการชา และ เหน็บชา มีความหมายและการรับรู้ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

 

1. อาการชา (Numbness):

ความหมาย: คือ อาการที่ร่างกายสูญเสียความรู้สึกไป โดยสิ้นเชิง เมื่อสัมผัสหรือแตะเบา ๆ จะไม่รู้สึกอะไรเลย (คล้ายกับอาการที่เกิดจากยาชา)

สาเหตุ: มักเกิดจากปัญหาของระบบประสาทส่วนใดส่วนหนึ่ง ตั้งแต่สมอง ไขสันหลัง ไปจนถึงเส้นประสาทส่วนปลาย

 

2. เหน็บชา (Pins and Needles / Paresthesia):

ความหมาย: คือ ความรู้สึกยุบยิบบนร่างกาย คล้ายมีเข็มเล็ก ๆ ทิ่ม หรือ "อาการปวดจี๊ด ๆ" ที่มาพร้อมกับการพักฟื้นหลังถูกกดทับ

สาเหตุ: เกิดจากการถูกกดทับของเส้นประสาทชั่วคราว ทำให้เลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงได้ไม่สะดวก เมื่อปล่อยการกดทับ เส้นประสาทจะกลับมาทำงานตามปกติ

ทั้งนี้ อาการ เหน็บชา มักรวมอยู่ในคำจำกัดความกว้าง ๆ ของปัญหา อาการชา ที่เกิดจากระบบประสาทด้วยเช่นกัน โดยอาการเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกส่วนที่มีเส้นประสาท เช่น มือ เท้า ใบหน้า หรือลำตัว

 

อาการชา ต่างจาก เหน็บชา อย่างไร พร้อม 4 ความเชื่อผิด ๆ ที่คุณต้องรู้

เปิด  4 ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับ อาการชา

 

2.1 ความเชื่อ: ชา บ่อย ๆ ปล่อยทิ้งไว้ เสี่ยงเป็นอัมพาต


[ความจริง: ไม่จริงเสมอไป]

อาการชา จากโรคอัมพาต (โรคหลอดเลือดสมอง) จะแตกต่างจากอาการชาทั่วไปอย่างชัดเจน โดยมักจะ เกิดขึ้นทันที และ ชาทั้งซีก ของร่างกาย เช่น ชาทั้งแขน ขา และใบหน้าซีกขวา ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ แต่อาการชาทั่วไปมักเป็นที่มือหรือเท้า และเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ที่ค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า

 

2.2 ความเชื่อ: ชาปลายมือปลายเท้า เสี่ยงเป็นโรคปลายประสาทอักเสบเท่านั้น


[ความจริง: จริงบางส่วน แต่ไม่ใช่ทั้งหมด]

อาการชา เป็นเพียงอาการหนึ่งของโรคปลายประสาทอักเสบ ซึ่งจะมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น รู้สึกปวดยุบยิบ หรือร้อนที่ปลายประสาท แต่ อาการชา ยังอาจหมายถึงโรคอื่นได้อีกด้วย เช่น

โรคพังผืดทับเส้นประสาท หรือ หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท: อาการชาจะมีความ เฉพาะจุด เช่น ชามือ แขน หรือขาข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้น

โรคปลายประสาทอักเสบจริง ๆ: อาการชาจะค่อย ๆ ลามขึ้นมา จากปลายเท้าขึ้นมาถึงปลายมือ และมักมีอาการอ่อนแรงตามมา

 

2.3 ความเชื่อ: อยากหาย ชา ให้ดื่มน้ำต้มขิง น้ำตะไคร้


[ความจริง: ไม่จริง (ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ)]

หาก อาการชา เกิดจากโรคที่ต้องควบคุม เช่น คนไข้เบาหวานที่มีน้ำตาลในเลือดสูงจนไปทำลายเส้นประสาท การดื่มสมุนไพรจะไม่สามารถรักษาอาการชาให้หายขาดได้ การรักษาที่ถูกต้องคือ การแก้ที่ต้นเหตุ เช่น การคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดีเพื่อหยุดความเสียหายของเส้นประสาท

 

2.4 ความเชื่อ: อาการชา เป็นเฉพาะในผู้สูงอายุเท่านั้น


[ความจริง: ไม่จริง]

แม้จะพบในผู้สูงอายุมากกว่า แต่โรคทางระบบประสาทหลายโรคที่ทำให้เกิด อาการชา ก็สามารถพบได้ในคนทุกวัย รวมถึงในเด็กด้วย เพียงแต่อาจพบน้อยกว่าเท่านั้น

 

อาการชา แบบไหนต้องปรึกษาแพทย์? และแนวทางการรักษา


สังเกตตัวเอง: อาการชา แบบไหนต้องปรึกษาแพทย์?

 

หากอาการ เหน็บชา หรือ อาการชา ของคุณเข้าข่ายดังต่อไปนี้ แนะนำให้รีบไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง:

 

อาการชาที่เป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ: ไม่ได้เป็นเพียงชั่วคราว แต่รู้สึกชาแบบค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ตัด

 

มีอาการอ่อนแรงร่วมด้วย: เช่น หยิบจับสิ่งของได้ไม่ถนัด หรือยกแขนขาได้ไม่เต็มที่

 

มีอาการชาทั้งซีกของร่างกาย: เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน พร้อมอาการอื่น ๆ เช่น ปากเบี้ยว (สัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือดสมอง)

 

การรักษา อาการชา แบ่งออกเป็น 2 แนวทางหลัก

 

  1. การรักษาที่ต้นเหตุ (Root Cause Treatment): แพทย์จะวินิจฉัยและรักษาที่สาเหตุโดยตรง เช่น หากเกิดจากปลอกประสาทอักเสบจากภูมิทำลายตัวเอง อาจต้องรักษาด้วยการให้ยากดภูมิคุ้มกัน หรือหากเกิดจากเบาหวาน ก็ต้องควบคุมระดับน้ำตาลให้ดี
  2. การรักษาตามอาการ (Symptomatic Treatment): แพทย์จะให้ยาเพื่อลดอาการชาและอาการปวดเส้นประสาท เพื่อช่วยบรรเทาอาการให้ทุเลาลงในระหว่างที่ทำการรักษาที่ต้นเหตุ

 

หากคุณสงสัยหรือมีความกังวลเกี่ยวกับอาการ ชาปลายมือปลายเท้า ที่เป็นบ่อยครั้ง การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทเป็นวิธีที่ดีที่สุดเสมอครับ


คุณสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ : เรื่องเข้าใจผิดกับ อาการชา