หมอเตือนเอง ใคร "เวียนหัว บ้านหมุน" บ่อย ๆ อย่ามองข้าม ระวังด่วน

หมอเตือน “เวียนหัวโลกหมุน” อย่าคิดว่าแค่เหนื่อยหรือพักผ่อนน้อย เผยสาเหตุพบบ่อยจาก “หินปูนในหูหลุด” และ “น้ำในหูไม่เท่ากัน”

"หมอเจดนพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา ได้ออกมาโพสต์ข้อความระบุว่า 

ถ้าเคยมีอาการแบบนี้ คุณจะรู้เลยว่ามันไม่ใช่เวียนหัวธรรมดา

แต่เป็นความรู้สึกโลกหมุนติ้ว ๆ ทั้งที่ทำแค่ลุกขึ้นนั่งหรือหันหัวเร็ว ๆ เอง

อาการแบบนี้มีได้หลายสาเหตุ ที่เจอบ่อยสุดคือ “หินปูนในหูหลุด” กับ “โรคน้ำในหูไม่เท่ากันจริง ๆ” (เมเนียร์) ซึ่งสองโรคนี้แม้อาการจะคล้ายกัน แต่สาเหตุและวิธีดูแลต่างกันแบบคนละเรื่อง

วันนี้หมอจะเล่าให้ฟัง ให้เข้าใจว่า หินปูนในหูกับน้ำในหูไม่เท่ากันคืออะไร

สังเกตอาการยังไง ป้องกันได้แค่ไหน และอาการแบบไหนต้องรีบไปหาหมอทันที

1. หินปูนในหูคืออะไร ทำไมเม็ดจิ๋วทำให้เวียนหัวโลกหมุน?

ในหูชั้นในของเรามีระบบที่ทำหน้าที่ควบคุมการทรงตัว หรือเรียกว่า Vestibular system

ซึ่งจะมีเม็ดแคลเซียมเล็ก ๆ ชื่อ Otoconia อยู่

ทำหน้าที่เหมือนลูกตะกั่วเล็ก ๆ ช่วยบอกสมองว่าเรากำลังเอียง หัน หรือเคลื่อนไหวยังไง

ทีนี้ปัญหาคือ บางทีหินปูนพวกนี้ดัน “หลุด” เข้าไปในท่อกึ่งวงกลม (Semicircular canal)

พอเราขยับหัว มันไปกวนของเหลวในหู ทำให้สมองรับสัญญาณผิดปกติ

จึงเกิดอาการเวียนหัวแบบโลกหมุนทันที

ภาวะนี้เรียกว่า BPPV (Benig Paroxysmal Positional Vertigo)

หรือที่หลายคนเข้าใจว่า “น้ำในหูไม่เท่ากัน”

.

2. แล้ว “น้ำในหูไม่เท่ากัน” จริง ๆ คือโรคอะไร?

คำนี้เป็นคำที่คนไทยชอบใช้ แต่ถ้าในทางหมอ ส่วนใหญ่หมายถึง โรคเมเนียร์ (Meniere’s Disease) เกิดจากน้ำในหูชั้นในเยอะเกินไป ทำให้เกิดแรงดันผิดปกติ ระบบทรงตัวรวน การได้ยินก็รวนตามไปด้วย

อาการหลัก ๆ ของน้ำในหูไม่เท่ากัน

•เวียนหัวแบบโลกหมุน หมุนแรงจนลืมตาไม่ไหว

•มีเสียงวิ๊ง ๆ หรืออื้อในหู

•การได้ยินลดลงชั่วคราว ถ้าเป็นบ่อย ๆ อาจหูตึงถาวร

•คลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อแตก

ต่างจาก BPPV ตรงที่อันนี้เกิดจาก “แรงดันน้ำในหูรวน” ส่วนหินปูนในหูคือ “เม็ดแคลเซียมหลุด” แต่เพราะอาการเวียนหัวคล้ายกัน

.

3. อาการไหนปลอดภัย อาการไหนต้องรีบไปหาหมอ?

สองโรคนี้แม้จะไม่อันตรายถึงชีวิต แต่มีบางอย่างที่ต้องสังเกต เพราะบางครั้งอาการเวียนหัวแบบนี้ดันไปคล้ายโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ได้

✅ อาการที่มักเป็นแค่จากหู

•เวียนหัวเวลาขยับหัวหรือเปลี่ยนท่า

•โลกหมุนแบบจริง ๆ ไม่ใช่แค่โคลง ๆ

•คลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย

•ไม่มีอาการแขนขาอ่อนแรง พูดไม่ชัด

🚨 อาการที่ควรไปโรงพยาบาลด่วน

•เวียนหัวร่วมกับปากเบี้ยว พูดไม่ชัด แขนขาไม่มีแรง → อาจเป็นสโตรก

•เวียนหัวรุนแรงเฉียบพลัน แบบไม่เคยเป็นมาก่อน

•การได้ยินหายไปทันที หรือหูหนวกฉับพลัน

•ปวดหู มีหนอง หรืออาการติดเชื้อ

แต่ถึงยังไงก็แนะนำว่า ไม่ว่าอาการแบบไหนก็ควรจะไปตรวจที่โรงพยาบาลนะ

.

4.ป้องกันยังไง?

หินปูนในหูบางทีเกิดแบบไม่มีสาเหตุ

แต่จะเจอบ่อยในคนอายุ 40–60 หรือหลังหัวกระแทก

ส่วนน้ำในหูไม่เท่ากันจะเกี่ยวกับพันธุกรรม ความเครียด อาหารเค็ม คาเฟอีน ฯลฯ

วิธีดูแลลดความเสี่ยง

• ลดเค็ม เกลือเยอะทำให้คุมน้ำในร่างกายไม่ดี น้ำในหูแปรปรวนง่าย

• ลดคาเฟอีนและแอลกอฮอล์: ของพวกนี้กระตุ้นระบบทรงตัว

• ดื่มน้ำพอดี ๆ ขาดน้ำหรือมากเกินก็รวนได้

•พักผ่อนพอ ๆ นอนน้อย เครียด ระบบประสาทจะไวขึ้น ทำให้เวียนหัวง่าย

• ขยับร่างกาย ฝึกการทรงตัว สมองจะได้ปรับตัว ลดโอกาสเวียนหัวซ้ำ

.

5. ถ้าเป็นแล้วทำไง? หายเองไหม?

•หินปูนในหู (BPPV): ส่วนใหญ่รักษาด้วยการทำท่าบริหารศีรษะให้หินปูนกลับบ้าน เช่นท่า Epley maneuver ไม่ต้องพึ่งยาเยอะ ถ้าทำถูกอาการมักหายใน 1–2 วัน แต่บางคนอาจวนกลับมาเป็นซ้ำ

•น้ำในหูไม่เท่ากัน: ต้องคุมอาหาร ลดเกลือ ใช้ยาขับน้ำหรือยาคลายเวียนหัวตอนกำเริบ และคอยเช็กการได้ยิน เพราะถ้าเป็นบ่อย ๆ หูอาจตึงถาวรได้

❌ สิ่งที่ไม่ควรทำเลยคือ

ฝืนขับรถหรือทำงานที่เสี่ยงตอนเวียนหัว

กินยาคลายเวียนหัวพร่ำเพรื่อแบบไม่รู้สาเหตุ เพราะอาจปิดบังโรคอื่น

เรื่องเวียนหัวโลกหมุนไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ

และไม่ใช่แค่ “น้ำในหูไม่เท่ากัน” เสมอไป

บางครั้งเป็นแค่หินปูนในหูหลุด

และบางครั้งก็เป็นสัญญาณเตือนโรคหลอดเลือดสมองที่ห้ามชะล่าใจเด็ดขาด

สิ่งสำคัญคือ อย่ามองข้ามอาการเวียนหัว อย่าเดาเอง และอย่ารอจนหนัก

แนะนำว่าอาการแบบไหน ก็ควรรีบไปโรงพยาบาลนะ

ใครมีคำถามคอมเมนต์ได้เลยครับ

หมอเตือนเอง ใคร เวียนหัว บ้านหมุน บ่อย ๆ อย่ามองข้าม ระวังด่วน