- 30 ต.ค. 2568
หมอเตือน “เวียนหัวโลกหมุน” อย่าคิดว่าแค่เหนื่อยหรือพักผ่อนน้อย เผยสาเหตุพบบ่อยจาก “หินปูนในหูหลุด” และ “น้ำในหูไม่เท่ากัน”
"หมอเจด" นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา ได้ออกมาโพสต์ข้อความระบุว่า
ถ้าเคยมีอาการแบบนี้ คุณจะรู้เลยว่ามันไม่ใช่เวียนหัวธรรมดา
แต่เป็นความรู้สึกโลกหมุนติ้ว ๆ ทั้งที่ทำแค่ลุกขึ้นนั่งหรือหันหัวเร็ว ๆ เอง
อาการแบบนี้มีได้หลายสาเหตุ ที่เจอบ่อยสุดคือ “หินปูนในหูหลุด” กับ “โรคน้ำในหูไม่เท่ากันจริง ๆ” (เมเนียร์) ซึ่งสองโรคนี้แม้อาการจะคล้ายกัน แต่สาเหตุและวิธีดูแลต่างกันแบบคนละเรื่อง
วันนี้หมอจะเล่าให้ฟัง ให้เข้าใจว่า หินปูนในหูกับน้ำในหูไม่เท่ากันคืออะไร
สังเกตอาการยังไง ป้องกันได้แค่ไหน และอาการแบบไหนต้องรีบไปหาหมอทันที
1. หินปูนในหูคืออะไร ทำไมเม็ดจิ๋วทำให้เวียนหัวโลกหมุน?
ในหูชั้นในของเรามีระบบที่ทำหน้าที่ควบคุมการทรงตัว หรือเรียกว่า Vestibular system
ซึ่งจะมีเม็ดแคลเซียมเล็ก ๆ ชื่อ Otoconia อยู่
ทำหน้าที่เหมือนลูกตะกั่วเล็ก ๆ ช่วยบอกสมองว่าเรากำลังเอียง หัน หรือเคลื่อนไหวยังไง
ทีนี้ปัญหาคือ บางทีหินปูนพวกนี้ดัน “หลุด” เข้าไปในท่อกึ่งวงกลม (Semicircular canal)
พอเราขยับหัว มันไปกวนของเหลวในหู ทำให้สมองรับสัญญาณผิดปกติ
จึงเกิดอาการเวียนหัวแบบโลกหมุนทันที
ภาวะนี้เรียกว่า BPPV (Benig Paroxysmal Positional Vertigo)
หรือที่หลายคนเข้าใจว่า “น้ำในหูไม่เท่ากัน”
.
2. แล้ว “น้ำในหูไม่เท่ากัน” จริง ๆ คือโรคอะไร?
คำนี้เป็นคำที่คนไทยชอบใช้ แต่ถ้าในทางหมอ ส่วนใหญ่หมายถึง โรคเมเนียร์ (Meniere’s Disease) เกิดจากน้ำในหูชั้นในเยอะเกินไป ทำให้เกิดแรงดันผิดปกติ ระบบทรงตัวรวน การได้ยินก็รวนตามไปด้วย
อาการหลัก ๆ ของน้ำในหูไม่เท่ากัน
•เวียนหัวแบบโลกหมุน หมุนแรงจนลืมตาไม่ไหว
•มีเสียงวิ๊ง ๆ หรืออื้อในหู
•การได้ยินลดลงชั่วคราว ถ้าเป็นบ่อย ๆ อาจหูตึงถาวร
•คลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อแตก
ต่างจาก BPPV ตรงที่อันนี้เกิดจาก “แรงดันน้ำในหูรวน” ส่วนหินปูนในหูคือ “เม็ดแคลเซียมหลุด” แต่เพราะอาการเวียนหัวคล้ายกัน
.
3. อาการไหนปลอดภัย อาการไหนต้องรีบไปหาหมอ?
สองโรคนี้แม้จะไม่อันตรายถึงชีวิต แต่มีบางอย่างที่ต้องสังเกต เพราะบางครั้งอาการเวียนหัวแบบนี้ดันไปคล้ายโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ได้
✅ อาการที่มักเป็นแค่จากหู
•เวียนหัวเวลาขยับหัวหรือเปลี่ยนท่า
•โลกหมุนแบบจริง ๆ ไม่ใช่แค่โคลง ๆ
•คลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย
•ไม่มีอาการแขนขาอ่อนแรง พูดไม่ชัด
🚨 อาการที่ควรไปโรงพยาบาลด่วน
•เวียนหัวร่วมกับปากเบี้ยว พูดไม่ชัด แขนขาไม่มีแรง → อาจเป็นสโตรก
•เวียนหัวรุนแรงเฉียบพลัน แบบไม่เคยเป็นมาก่อน
•การได้ยินหายไปทันที หรือหูหนวกฉับพลัน
•ปวดหู มีหนอง หรืออาการติดเชื้อ
แต่ถึงยังไงก็แนะนำว่า ไม่ว่าอาการแบบไหนก็ควรจะไปตรวจที่โรงพยาบาลนะ
.
4.ป้องกันยังไง?
หินปูนในหูบางทีเกิดแบบไม่มีสาเหตุ
แต่จะเจอบ่อยในคนอายุ 40–60 หรือหลังหัวกระแทก
ส่วนน้ำในหูไม่เท่ากันจะเกี่ยวกับพันธุกรรม ความเครียด อาหารเค็ม คาเฟอีน ฯลฯ
วิธีดูแลลดความเสี่ยง
• ลดเค็ม เกลือเยอะทำให้คุมน้ำในร่างกายไม่ดี น้ำในหูแปรปรวนง่าย
• ลดคาเฟอีนและแอลกอฮอล์: ของพวกนี้กระตุ้นระบบทรงตัว
• ดื่มน้ำพอดี ๆ ขาดน้ำหรือมากเกินก็รวนได้
•พักผ่อนพอ ๆ นอนน้อย เครียด ระบบประสาทจะไวขึ้น ทำให้เวียนหัวง่าย
• ขยับร่างกาย ฝึกการทรงตัว สมองจะได้ปรับตัว ลดโอกาสเวียนหัวซ้ำ
.
5. ถ้าเป็นแล้วทำไง? หายเองไหม?
•หินปูนในหู (BPPV): ส่วนใหญ่รักษาด้วยการทำท่าบริหารศีรษะให้หินปูนกลับบ้าน เช่นท่า Epley maneuver ไม่ต้องพึ่งยาเยอะ ถ้าทำถูกอาการมักหายใน 1–2 วัน แต่บางคนอาจวนกลับมาเป็นซ้ำ
•น้ำในหูไม่เท่ากัน: ต้องคุมอาหาร ลดเกลือ ใช้ยาขับน้ำหรือยาคลายเวียนหัวตอนกำเริบ และคอยเช็กการได้ยิน เพราะถ้าเป็นบ่อย ๆ หูอาจตึงถาวรได้
❌ สิ่งที่ไม่ควรทำเลยคือ
ฝืนขับรถหรือทำงานที่เสี่ยงตอนเวียนหัว
กินยาคลายเวียนหัวพร่ำเพรื่อแบบไม่รู้สาเหตุ เพราะอาจปิดบังโรคอื่น
เรื่องเวียนหัวโลกหมุนไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ
และไม่ใช่แค่ “น้ำในหูไม่เท่ากัน” เสมอไป
บางครั้งเป็นแค่หินปูนในหูหลุด
และบางครั้งก็เป็นสัญญาณเตือนโรคหลอดเลือดสมองที่ห้ามชะล่าใจเด็ดขาด
สิ่งสำคัญคือ อย่ามองข้ามอาการเวียนหัว อย่าเดาเอง และอย่ารอจนหนัก
แนะนำว่าอาการแบบไหน ก็ควรรีบไปโรงพยาบาลนะ
ใครมีคำถามคอมเมนต์ได้เลยครับ






