เปิดอายุ "พลายม้วน" ช้างป่าเขาคิชฌกูฏ เสียดายจบชีวิตสุดสลด

จากเหตุความสูญเสียช้างป่าเขาคิชฌกูฏล้มพร้อมกัน 3 ตัวในสวนผลไม้ เปิดอายุพลายม้วน 1 ในช้างตัวที่เสียชีวิต รู้แล้วเสียดาย

จากเหตุการณ์ความสูญเสียครั้งใหญ่สะเทือนทั้งผืนป่าเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี หลังเกิดเหตุ ช้างป่าล้มพร้อมกัน 3 ตัว ภายในพื้นที่หมู่ 9 บ้านคลองตาอิน ตำบลคลองพลู อำเภอเขาคิชฌกูฏ เบื้องต้นคาดว่า ถูกกระแสไฟฟ้าช็อตจากสายไฟในสวนผลไม้ของชาวบ้าน เจ้าหน้าที่เร่งตรวจสอบหาสาเหตุที่แท้จริง พร้อมเตรียมดำเนินคดีกับเจ้าของพื้นที่ตามกฎหมาย

 

เปิดอายุ พลายม้วน ช้างป่าเขาคิชฌกูฏ เสียดายจบชีวิตสุดสลด
 

เปิดอายุ พลายม้วน ช้างป่าเขาคิชฌกูฏ เสียดายจบชีวิตสุดสลด

 

หนึ่งในช้างที่ล้มคือ “พลายม้วน” เพศผู้ อายุราว 30 ปี น้ำหนักกว่า 5-6 ตัน ช้างป่าที่คุ้นเคยในพื้นที่เขาคิชฌกูฏและมักปรากฏตัวในป่าลึก พลายม้วนถือเป็นช้างป่าโตเต็มวัยที่มีอายุยืนและแข็งแรง แต่ต้องมาจบชีวิตอย่างน่าเศร้าจากเหตุไฟฟ้าช็อตกลางคืน

นายสุขี บุญสร้าง ผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า เปิดเผยว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อกลางดึกวันที่ 11 พฤศจิกายน เวลาประมาณ 22.30 น. เจ้าหน้าที่ชุดเคลื่อนที่เร็วชุดที่ 10 ได้รับแจ้งว่าพบช้างป่าล้มในสวนผลไม้ เมื่อตรวจสอบพบว่าเป็นพลายม้วน และมีร่องรอยการถูกกระแสไฟฟ้าช็อต

 

เปิดอายุ พลายม้วน ช้างป่าเขาคิชฌกูฏ เสียดายจบชีวิตสุดสลด

เปิดอายุ พลายม้วน ช้างป่าเขาคิชฌกูฏ เสียดายจบชีวิตสุดสลด

 

ต่อมาเช้าวันที่ 12 พฤศจิกายน เวลาประมาณ 06.30 น. เจ้าหน้าที่ได้รับรายงานเพิ่มเติมว่าพบ ช้างป่าล้มอีก 2 ตัว ห่างจากจุดแรกประมาณ 100 เมตร คาดว่าเสียชีวิตจากสาเหตุเดียวกัน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบอย่างละเอียด

นายชวินทฐ์ ปิ่นแก้ว หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ เปิดเผยว่า ได้ลงพื้นที่พร้อมเจ้าหน้าที่อุทยานฯ และชุดเคลื่อนที่เร็ว ร่วมกับนายบำรุง โฉมเฉลา ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 9 ตรวจสอบพื้นที่โดยรอบ พร้อมประสาน สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 2 (ศรีราชา) ส่งทีมสัตวแพทย์ 3 นาย และเจ้าหน้าที่กว่า 10 นาย เข้าผ่าพิสูจน์ซากช้างทั้ง 3 ตัว เพื่อหาสาเหตุการตายที่ชัดเจน

 

เปิดอายุ พลายม้วน ช้างป่าเขาคิชฌกูฏ เสียดายจบชีวิตสุดสลด

 

นอกจากนี้ ยังได้ประสาน เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาสอยดาว เพื่อจัดทำบันทึกแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าของที่ดินตามกฎหมาย พร้อมสั่งการให้เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครเพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวังพื้นที่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุสลดซ้ำขึ้นอีก