- 13 พ.ย. 2568
เนียนเกินต้าน! มิจฉาชีพตีสนิทเจ้าของร้านอะไหล่ เล่นละครนานเป็นปีก่อนออกลายหลอกเทรดคริปโต สูญเกลี้ยง 4 ล้าน
กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมกันจับกุมนายภากร อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดชัยภูมิ ที่ 527/2568 ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 มิจฉาชีพตีสนิทเจ้าของร้านอะไหล่ เล่นละครนานนับปี ก่อนหลอกลงทุนเหรียญดิจิทัล มูลค่าความเสียหายพุ่ง 4 ล้านบาท
ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน "ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นบุคคลอื่น และร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และสมคบกันโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน"
สถานที่จับกุม บริเวณหน้าบ้านหลังหนึ่ง หมู่ที่ 5 ต.น้ำโจ้ อ.แม่ทะ จ.ลำปาง
พฤติการณ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ป. โดยชุดจับกุมนำโดย พ.ต.ต.จิรัฎฐวัฒน์ กิจรุ่งเรืองเดช สว.กก.4 บก.ป. พร้อมพวก ได้สืบสวนติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหารายดังกล่าว หลังทราบว่าเดินทางมาถึงจุดจับกุม เจ้าหน้าที่ได้แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ พร้อมแสดงหมายจับให้ผู้ต้องหาทราบโดยชัดแจ้ง ผู้ต้องหารับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับดังกล่าวจริง จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งสิทธิของผู้ต้องหาตามกฎหมาย พร้อมทั้งแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ต้องหารับทราบ ผู้ต้องหาเข้าใจสิทธิและข้อกล่าวหาที่เจ้าหน้าที่แจ้ง โดยให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา
พฤติการณ์ก่อนหน้า คดีนี้มีต้นเรื่องจากการถูกหลอกลวงชักชวนให้ร่วมลงทุนซื้อขาย-แลกเปลี่ยนเหรียญดิจิทัล และลงทุนเทรดหุ้น โดยผู้ต้องหาหรือกลุ่มมิจฉาชีพสร้างโปรไฟล์เฟซบุ๊กปลอม แล้วส่งคำขอเป็นเพื่อนกับผู้เสียหาย ซึ่งเป็นเจ้าของร้านขายอะไหล่รถยนต์ในจังหวัดชัยภูมิ
ต่อมา มิจฉาชีพได้ทักแชตพูดคุยและตีสนิทกับผู้เสียหาย โดยอ้างว่าตนทำงานอยู่ในบริษัทแห่งหนึ่งซึ่งดำเนินการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล จากนั้นได้ขอ ID LINE ของผู้เสียหายเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการร่วมลงทุนซื้อขาย–แลกเปลี่ยนเหรียญดิจิทัลและเทรดหุ้น โดยทั้งสองมีการติดต่อสื่อสารผ่านทางเฟซบุ๊กและไลน์เป็นเวลาหลายเดือน (ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2566 ถึง 4 สิงหาคม 2567) จนผู้เสียหายเกิดความไว้ใจ และผู้ต้องหาหรือกลุ่มมิจฉาชีพได้ชักชวนให้ร่วมลงทุน โดยอ้างว่ามีกำไรสูงและสามารถถอนเงินได้จริง
ในช่วงแรก ผู้เสียหายหลงเชื่อและร่วมลงทุนจำนวน 200,000 บาท ซึ่งได้รับเงินคืนพร้อมกำไรเล็กน้อย ทำให้เกิดความมั่นใจและลงทุนต่อเนื่อง โดยโอนเงินไปเข้าบัญชีต่าง ๆ หลายบัญชี หนึ่งในนั้นเป็นบัญชีชื่อ "นายภากร" (ผู้ต้องหาตามหมายจับ)
ต่อมาผู้เสียหายลงทุนเพิ่มเรื่อย ๆ จนรวมมูลค่าความเสียหายกว่า 4,000,000 บาท และไม่สามารถติดต่อกับผู้ใช้เฟซบุ๊กดังกล่าวได้อีก จึงเชื่อว่าถูกหลอกลวง จึงเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 3
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาจำนวนหลายรายในหลายพื้นที่ จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปราม ได้สืบสวนติดตามจับกุมนายภากรฯ ผู้ต้องหารายนี้ไว้ได้ จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวนกองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 3 เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การว่าเป็นบุคคลตามหมายจับนี้จริง และให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา






