- 15 พ.ย. 2568
กรมอุทยานฯ สั่งเดินหน้าดำเนินคดีเต็มพิกัด แจ้ง 2 ข้อหาผู้เกี่ยวข้องเหตุช้างป่าเขาคิชฌกูฏถูกไฟช็อตดับ 3 ตัว
จากกรณีความสูญเสียครั้งใหญ่ “ช้างป่าเขาคิชฌกูฏ” ถูกไฟช็อตล้มพร้อมกัน 3 ตัว เบื้องต้นคาดว่า ถูกกระแสไฟฟ้าช็อตจากสายไฟในสวนผลไม้ของชาวบ้าน เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ล่าสุดยืนยันเอาผิดผู้เกี่ยวข้อง คดีนี้ไม่มีละเว้น
จากการตรวจสอบพบว่า ช้างทั้ง 3 ตัวที่ล้ม มี 1 ตัวเป็นช้างป่าเพศผู้ อายุราว 30 ปี น้ำหนักประมาณ 5–6 ตัน ทราบชื่อ “พลายม้วน” คาดว่าถูกไฟฟ้าช็อตจากสายไฟในสวนจนเสียชีวิต
ส่วนอีก 2 ตัว ล้มห่างจากจุดแรกประมาณ 100 เมตร เบื้องต้นคาดว่าเกิดจากสาเหตุเดียวกัน เป็นช้างป่าเพศเมีย 1 ตัว และช้างป่าเพศผู้วัยรุ่นอีก 1 ตัว
ต่อมามีการเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้ใช้เฟซบุ๊ก Andaman Adana โดยอ้างอิงข้อมูลจาก คุณวี นภัสกรณ์ ตาดม่วง เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ระบุว่า ช้างป่าตัวเมียที่ล้มในเหตุการณ์นี้ “ไม่ได้ตั้งท้อง” แต่คาดว่า “คลอดลูกแล้ว และอาจฝากลูกไว้ให้ฝูงเลี้ยง”
มีการอัปเดตข้อมูลเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่ในพื้นที่ว่า
- ช้างพังตัวนี้มีท้องโตจนหลายคนกังวลว่าจะตั้งท้อง แต่ผลการผ่าชันสูตรไม่พบลูกในครรภ์
- พบว่านมคัดและมีน้ำนม
- ยืนยันว่าเป็นช้างพังที่มีลูกแล้ว และอาจเป็นช้างแม่สาวที่ฝากลูกให้ฝูงช่วยดูแล
- มีเจ้าหน้าที่อาสาติดตามช้างชุดนี้อยู่ประจำ คาดว่าจะสามารถตรวจสอบและยืนยันข้อมูลเรื่องลูกช้างได้แน่นอน
ล่าสุดวันที่ 15 พฤศจิกายน 2568 นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีต ผอ.สำนักอุทยานฯ ได้โพสต์ข้อความระบุ รัฐมนตรีสุชาติ ให้กรมอุทยานฯ เร่งดำเนินคดี กรมอุทยานฯ ยืนยันชัด คดีนี้ไม่มีละเว้น ผู้กระทำผิดต้องรับโทษตามกฎหมายทุกกระบวนการ หลังช้างป่าล้ม 3 ตัว จากไฟฟ้าช็อตกลางสวนผลไม้
กรมอุทยานฯ สั่งเดินหน้าดำเนินคดีเต็มพิกัด หลังรับรายงานเหตุสลดครั้งนี้ อธิบดีกรมอุทยานฯ ได้สั่งการด่วนให้เร่งคลี่คลายเรื่องนี้ และดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด เพื่อเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำอันนำไปสู่การเสียชีวิตของสัตว์ป่าคุ้มครอง
หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว
ผู้ช่วยหัวหน้าอช.เขาคิชฌกูฏ
และนายสัตวแพทย์จากสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 2 (ศรีราชา)ได้เข้าตรวจสอบซากช้างทั้ง 3 ตัว แล้ว
พร้อมเก็บพยานหลักฐานรอบจุดเกิดเหตุ ทำบันทึกการตรวจยึดของกลาง และนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เขาคิชฌกูฏ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายใน 2 ข้อหา ได้แก่
1. พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 มาตรา 12
2. พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 มาตรา 97






