- 03 ธ.ค. 2568
ครม.ไฟเขียวปรับเพดานค่าจ้างที่ใช้คำนวณเงินสมทบประกันสังคมครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปี ขยับขึ้นตามเศรษฐกิจจริง ส่งผลให้ผู้ประกันตนมาตรา 33 จ่ายสูงสุด 875 บาท
วันนี้ (2 ธันวาคม 2568) นางสาว อัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบ ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานคำนวณ เงินสมทบกองทุนประกันสังคม ตามที่ กระทรวงแรงงาน เสนอ เพื่อให้สอดคล้องกับค่าจ้างปัจจุบันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
รองโฆษกเผยว่า กฎกระทรวงเดิมใช้มาตั้งแต่ปี 2538 ทำให้เพดานค่าจ้างที่ใช้คำนวณเงินสมทบอยู่ที่ ไม่เกิน 15,000 บาทต่อเดือน มายาวนาน ส่งผลให้ผู้ประกันตนที่มีรายได้สูงกว่าเพดานต้องส่งเงินสมทบในอัตราเดียวกัน และได้รับสิทธิประโยชน์ที่ไม่สะท้อนค่าจ้างจริง ขณะเดียวกันอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปัจจุบันสูงสุดถึง 400 บาทต่อวัน แต่ฐานคำนวณยังอิงข้อมูลจากเมื่อ 30 ปีก่อน จึงไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและมาตรฐาน ILO
✔ ปรับเพดานแบบขั้นบันไดทุก 3 ปี เริ่มปี 2569
ร่างกฎกระทรวงใหม่ จึงปรับเพดานค่าจ้างที่ใช้คำนวณเงินสมทบเป็นระยะ 3 ช่วง โดยยังคงอัตราการส่งเงินสมทบที่ 5% เช่นเดิม ได้แก่
ปี 2569–2571 : เพดานค่าจ้าง 17,500 บาท
ปี 2572–2574 : เพดานค่าจ้าง 20,000 บาท
ปี 2575 เป็นต้นไป : เพดานค่าจ้าง 23,000 บาท
สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่มีค่าจ้างตั้งแต่ 17,500 บาทขึ้นไป จะต้องส่งเงินสมทบสูงสุด 875 บาท ต่อเดือน ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป จากเดิมที่ส่งเพียง 750 บาท
การปรับเพดานใหม่นี้จะทำให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น เช่น เงินลาป่วย เงินทดแทนกรณีเสียชีวิต สิทธิประโยชน์ว่างงาน รวมถึงเงินบำนาญชราภาพในอนาคต เนื่องจากมีฐานเงินคำนวณสูงขึ้น
นอกจากนี้ การเพิ่มเพดานค่าจ้างยังช่วยให้กองทุนประกันสังคมมีรายได้มากขึ้น สามารถรองรับภาระจ่ายผลประโยชน์จำนวนมากในอนาคตได้อย่างมั่นคง ขณะที่รัฐบาลจะมีภาระสมทบเพิ่มขึ้นตามเพดานใหม่ ซึ่งถือเป็นการลงทุนเพื่อเสถียรภาพระบบประกันสังคมระยะยาว
แหล่งที่มาอ้างอิง
สำนักนายกรัฐมนตรี (ข้อมูลคำแถลงรองโฆษกฯ)
กระทรวงแรงงาน
สำนักงานประกันสังคม






