- 25 ธ.ค. 2568
เสธ.เบิร์ด เปิด 4 ฉากทัศน์จบเกมไทย–กัมพูชา ชี้ไม่ใช่แค่พื้นที่ทับซ้อน แต่คือเกมภูมิรัฐศาสตร์ สหรัฐ–จีนจับตา บทสรุปชี้ “ฮุน มาเนท” ชี้ทางออกสวยสุด
เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 2568 พล.ท.วันชนะ สวัสดี หรือ "เสธ.เบิร์ด" ที่ปรึกษาสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ กองบัญชาการกองทัพไทย เคลื่อนไหวผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Wanchana Sawasdee วิเคราะห์สถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา โดยมองว่าไม่ใช่เพียงปัญหาพื้นที่ทับซ้อนหรือกระแสชาตินิยม แต่เป็นสมรภูมิย่อยในเกมภูมิรัฐศาสตร์ ที่มีสหรัฐอเมริกาและจีนจับตาอย่างใกล้ชิด
เสธ.เบิร์ด ระบุว่า[Analysis] 4 ฉากทัศน์ "End Game" ปมขัดแย้งไทย-กัมพูชา เมื่อมหาอำนาจขยับ กระดานนี้ใครคือผู้ชนะ?
ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ใช่แค่เรื่องของ "พื้นที่ทับซ้อน" หรือ "ชาตินิยม" อีกต่อไป แต่คือสมรภูมิย่อยในเกมภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ที่มีมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีน จ้องมองอยู่ตาไม่กระพริบ ในฐานะนักวิเคราะห์ความมั่นคง ผมขอเสนอ 4 ฉากทัศน์ (Scenarios) ที่เป็นไปได้ในการ "จบเกม" ระยะยาว โดยมองผ่านเลนส์ผลประโยชน์ของทุกฝ่ายครับ
1. The Western Dream: "Regime Change" สู่ประชาธิปไตย
ฉากทัศน์: สหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตก ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจ ล้มล้างตระกูล "ฮุน" และสนับสนุนผู้นำสายเสรีนิยมอย่าง สม รังสี ขึ้นมาแทนที่
ทฤษฎี/บทเรียนในอดีต: นี่คือโมเดล "Regime Change" ที่สหรัฐฯ เคยใช้ในอิรักหรือลิเบีย หากผู้นำเก่าดื้อดึง จุดจบอาจรุนแรงเหมือน ซัดดัม ฮุสเซน หรือ กัดดาฟี
ผลลัพธ์: กัมพูชาจะพลิกขั้วมาเป็นพันธมิตรหลักของอเมริกาในอาเซียนทันที ตัดวงจรจีน แต่ความเสี่ยงคือความวุ่นวายภายในระดับสงครามกลางเมือง
2. The Dragon's Restore: "Royal Return" จีนจัดระเบียบใหม่
ฉากทัศน์: จีนมองว่าตระกูลฮุนเริ่ม "คุมยาก" หรือสร้างปัญหามากเกินไป จึงสนับสนุนให้เปลี่ยนผู้นำ โดยดึงสายราชวงศ์ (ลูกหลานสมเด็จนโรดม สีหนุ) ที่จีนฟูมฟักดูแลในปักกิ่งมาอย่างยาวนาน ขึ้นมามีอำนาจนำแทน
ทฤษฎี/บทเรียนในอดีต: จีนถนัดการใช้ "Soft Power ทางการทูต" ผ่านความสัมพันธ์ระดับผู้นำ (Elite Relations) จีนเลี้ยงดูราชวงศ์กัมพูชามาตลอดเพื่อเป็น "ไพ่สำรอง"
ผลลัพธ์: ตระกูลฮุนต้องลี้ภัย จีนยังคงอิทธิพลเบ็ดเสร็จ แต่ได้ภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นในสายตาชาวกัมพูชาที่เคารพสถาบันกษัตริย์
3. The Strongman Standoff: ฮุน เซน ยอมถอย (แต่ไม่จริง)
ฉากทัศน์: ตระกูลฮุนยอมสงบศึกชายแดนเพื่อลดแรงกดดัน แต่ยังคงกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ
ความน่าจะเป็น: "ต่ำ" เพราะฉากนี้ไม่มีใครชอบ
สหรัฐฯ & จีน: มองว่า สมเด็จฮุน เซน มีความเป็น "Machiavellian" (เจ้าเล่ห์เพทุบาย) สูง ดำเนินนโยบายแบบ "Hedging" (แทงกั๊ก) ตลอดเวลา เชื่อใจไม่ได้ เจรจายาก และบารมีมากเกินไปจนคุมไม่อยู่
4. The Soft Landing: ยุคสมัยของ "ฮุน มาเนท" (The Chosen One?)
ฉากทัศน์: ฮุน เซน วางมืออย่างแท้จริง หรือถูกกดดันให้ออกไปจากสมการอำนาจ ปล่อยให้ ฮุน มาเนท ปกครองโดยไร้เงาของพ่อ
ทำไมฉากนี้ถึงน่าสนใจที่สุด?
US Perspective: ฮุน มาเนท จบ West Point อเมริกาคุยด้วยง่ายกว่า มี Mindset แบบทหารตะวันตก และดู "ศิวิไลซ์" กว่าพ่อ
China Perspective: สัญญาและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน (BRI) ยังเดินหน้าต่อ จีนรับได้ตราบใดที่ผลประโยชน์ไม่กระทบ
Domestic Challenge: โจทย์ยากคือ ฮุน มาเนท ต้องเคลียร์กับกลุ่มอำนาจเก่า โดยเฉพาะ "ตระกูลเตีย" (คุมกองทัพมายาวนาน) เพื่อสร้างเสถียรภาพ
บทสรุป: ทำไม Scenario 4 คือ "ทางออกที่สวยที่สุด"?
ในระยะยาว ฉากทัศน์ที่ 4 มีโอกาสเกิดขึ้นสูงสุด และจะเป็นจุดเปลี่ยนที่นำ "สันติภาพ" กลับมาสู่ชายแดนไทย-กัมพูชาได้ เพราะ:แพะรับบาป (Scapegoat): ความขัดแย้งในอดีตและความผิดพลาดทั้งหมด จะถูกโยนไปที่ "ยุคของฮุน เซน" เมื่อเขาพ้นจากอำนาจ ไทยและกัมพูชาสามารถ Reset ความสัมพันธ์ ได้โดยอ้างว่า "นั่นคือนโยบายของผู้นำคนก่อน" เป็นทางลงที่สวยงาม (Face-saving) ให้ทั้งสองชาติ
Game of Powers: ทั้งจีนและอเมริกา "วิน-วิน"
เจรจากับ ฮุน มาเนท ง่ายกว่า ฮุน เซน ที่เขี้ยวลากดิน ในมุมมองมหาอำนาจ "ฮุน มาเนท อ่อนกว่า ฮุน เซน" หากวันใดเขาคิดแข็งข้อหรือเลือกข้างชัดเจนเกินไป การจะ "โค่น" หรือ "เปลี่ยนตัว" ฮุน มาเนท ย่อมง่ายกว่าการงัดข้อกับพ่อของเขาหลายเท่า
สุดท้าย: ความสงบจะเกิดได้ เมื่อมหาอำนาจเห็นพ้องว่า "ตัวแสดงใหม่" ควบคุมง่ายกว่า "ตัวแสดงเดิม" ครับ
ขอบคุณ Wanchana Sawasdee






