- 29 ธ.ค. 2568
การศึกษาไม่ใช่เครื่องมือหาเสียง อ.โต้ง เปิดแผลใหญ่ ก่อนเลือกตั้งใครกล้าทำจริง ปฏิรูปการศึกษาไทย จะเริ่มที่นโยบาย หรือหยุดอยู่ที่คำสัญญา
ท่ามกลางบรรยากาศการเมืองที่กำลังเดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้งปี 2569 รองศาสตราจารย์ พันตำรวจโท ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล หรือ “อาจารย์โต้ง” ออกมาเปิดโจทย์ใหญ่เขย่าวงการการศึกษา ตั้งคำถามตรงไปตรงมาถึงพรรคการเมืองและผู้มีอำนาจว่า การปฏิรูปการศึกษาไทยจะเริ่มต้นอย่างจริงจังที่นโยบายและโครงสร้างธรรมาภิบาล หรือจะยังคงวนเวียนอยู่แค่คำสัญญาหรูในฤดูหาเสียง ท่ามกลางปัญหาความโปร่งใส ระบบคุณธรรม และการบังคับใช้กฎหมายในสถาบันอุดมศึกษาที่สังคมไม่อาจมองข้ามได้อีกต่อไป
เลือกตั้ง 2569 : ปฏิรูปการศึกษาไทย จะเริ่มที่นโยบาย หรือหยุดอยู่ที่คำสัญญา?
การพัฒนาคนและสถาบันการศึกษา ทั้งภาครัฐและเอกชน เป็นภารกิจสำคัญของรัฐตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน ซึ่งกำหนดให้รัฐต้องจัดให้มีระบบการศึกษาที่มีคุณภาพ ทั่วถึง และสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก การพัฒนาการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จึงไม่ใช่เพียงนโยบายเชิงบริหาร หากแต่เป็นรากฐานของความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนของประเทศ
นโยบายของรัฐด้านการอุดมศึกษา รวมถึงนโยบายของ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ล้วนมุ่งให้สถาบันอุดมศึกษาเป็นกลไกหลักในการผลิตกำลังคนที่มีความรู้ ควบคู่คุณธรรม มีสมรรถนะทางวิชาชีพ และมีความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อรองรับการพัฒนาประเทศในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ในทางสังคมยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า มหาวิทยาลัยเอกชน หรือเจ้าของสถาบันสามารถบริหารงานได้ไปในทิศทางที่ต้องการมากกว่าความถูกต้องชอบธรรม ทั้งที่ในความเป็นจริง มหาวิทยาลัยเอกชนอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายอย่างเข้มงวด และต้องปฏิบัติภารกิจสาธารณะไม่ต่างจากหน่วยงานของรัฐในด้านการจัดการศึกษา
ตาม พระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. 2546 มาตรา 8 ได้บัญญัติให้สถาบันอุดมศึกษาเอกชนเป็นสถานศึกษาวิจัย มีวัตถุประสงค์ในการจัดการศึกษา ส่งเสริมวิชาการและวิชาชีพชั้นสูง ทำการสอน การวิจัย การบริการทางวิชาการแก่สังคม และการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมของชาติ
ยิ่งไปกว่านั้น มาตรา 62 วรรคหนึ่ง (3) และมาตรา 70 ยังบัญญัติให้รัฐสามารถให้เงินอุดหนุนและส่งเสริมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนในหลายด้าน จึงอาจกล่าวได้ว่า มหาวิทยาลัยเอกชนอยู่ในฐานะเป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากรัฐ ให้จัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาแก่ประชาชน มิใช่เป็นเพียงบริษัทเอกชนที่มุ่งแสวงหากำไร
ระบบคุณธรรมและการบังคับใช้กฎหมาย: หัวใจของความน่าเชื่อถือ
พระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. 2546 ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับระบบคุณธรรมในการบริหารงานบุคคล โดยมาตรา 46 ได้กำหนดคุณสมบัติของอาจารย์และผู้บริหารของมหาวิทยาลัยไว้อย่างชัดเจนว่า ต้องไม่เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือเป็นความผิดลหุโทษ รวมถึงต้องไม่เป็นบุคคลล้มละลาย เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อรักษามาตรฐานทางวิชาการ จริยธรรม และความน่าเชื่อถือของสถาบันอุดมศึกษา
หากมีการแต่งตั้งอาจารย์หรือผู้บริหารที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติดังกล่าว กฎหมายมิได้เปิดช่องให้เพิกเฉยหรือใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจ โดยมาตรา 97 ได้บัญญัติให้อธิการบดีมีหน้าที่ต้องดำเนินการสอบสวนภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ปรากฏข้อเท็จจริง หากอธิการบดีไม่ดำเนินการ ให้สภาสถาบันเป็นผู้ดำเนินการแทน และให้ดำเนินการต่อไปตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด ซึ่งสะท้อนอย่างชัดเจนว่า กลไกการตรวจสอบภายในเป็นหน้าที่ตามกฎหมาย มิใช่เรื่องทางเลือก
นอกจากนี้ พระราชบัญญัติฉบับเดียวกันยังได้กำหนดบทกำหนดโทษแก่ผู้บริหารและคณาจารย์ประจำที่รู้ว่าตนเองขาดคุณสมบัติ แต่ยังฝ่าฝืนเข้าปฏิบัติงาน โดยมีโทษปรับสูงสุดไม่เกินห้าหมื่นบาท และกำหนดให้กระทรวง อว. มีหน้าที่ในการดำเนินการตามกฎหมายดังกล่าว บทลงโทษนี้สะท้อนชัดว่า การจัดการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนมิใช่กิจการเชิงพาณิชย์ทั่วไป หากแต่เป็นกิจการที่ต้องรับผิดชอบต่อสังคมและประโยชน์สาธารณะ
ความขัดกันแห่งผลประโยชน์: เส้นแบ่งที่ไม่อาจมองข้าม
ในทำนองเดียวกัน กฎกระทรวงว่าด้วยการคุ้มครองการทำงาน พ.ศ. 2549 ได้กำหนดหลักเกณฑ์สำคัญว่า บุคคลผู้ทำหน้าที่กรรมการคุ้มครองการทำงานต้องเป็นผู้มีความซื่อสัตย์และยุติธรรมเป็นที่ประจักษ์ เพื่อให้การคุ้มครองสิทธิของบุคลากรเป็นไปอย่างเป็นธรรมและปราศจากอิทธิพลจากฝ่ายบริหาร
ดังนั้น หากมีการแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งทับซ้อนกันระหว่าง ประธานคณะกรรมการคุ้มครองการทำงาน อุปนายกสภาสถาบัน และที่ปรึกษาอธิการบดีซึ่งได้รับค่าตอบแทน ย่อมไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎกระทรวงดังกล่าว และเข้าข่ายปัญหาความขัดกันแห่งผลประโยชน์ เนื่องจากมีความผูกพันทางผลประโยชน์กับฝ่ายบริหารโดยตรง
โครงสร้างเช่นนี้ย่อมส่งผลให้การวินิจฉัยข้อร้องเรียนจากบุคลากรของสถาบัน มีแนวโน้มเอนเอียงไปในทิศทางที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้มีอำนาจ มากกว่าการธำรงไว้ซึ่งหลักธรรมาภิบาล หลักนิติรัฐ และหลักนิติธรรม ดังที่บันทึกแจ้งเวียนของคณะกรรมการการอุดมศึกษาซึ่งเคยแจ้งให้มหาวิทยาลัยเอกชนรับทราบและถือปฏิบัติมาแล้ว
มหาวิทยาลัยกับความรับผิดชอบต่อสังคม
เป้าหมายสูงสุดของกฎหมายด้านการอุดมศึกษา คือการทำให้มหาวิทยาลัยเป็นฐานสำคัญในการพัฒนาคนให้มีความรู้ ควบคู่คุณธรรม และค่านิยมที่ดีงาม ดังนั้น การบริหารงานของมหาวิทยาลัยต้องเปิดกว้าง รับฟังความคิดเห็นจากบุคลากร นักศึกษา และสังคม ไม่ใช่การบริหารงานแบบรวมศูนย์อำนาจ หรือรวบอำนาจโดยปราศจากการรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างกัน
หากการบริหารงานดำเนินไปในระบบอุปถัมภ์ เล่นพรรคเล่นพวก ไม่ยึดระบบคุณธรรม ย่อมไม่เพียงบ่อนทำลายศักยภาพของมหาวิทยาลัย แต่ยังส่งผลกระทบต่อการพัฒนาคนและประเทศในระยะยาว ขัดต่อหลักนิติรัฐ นิติธรรม และเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
บทส่งท้าย: การเลือกตั้ง 2569 กับโจทย์การปฏิรูปการศึกษาไทย
ในบริบทที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงการเลือกตั้งทั่วไปในปี พ.ศ. 2569 ประเด็นการปฏิรูปการศึกษาควรถูกยกขึ้นเป็นวาระสำคัญของสังคมและเวทีนโยบายสาธารณะ พรรคการเมืองไม่อาจจำกัดการนำเสนอนโยบายด้านการศึกษาไว้เพียงเรื่องงบประมาณหรือการขยายโอกาสทางการศึกษาเท่านั้น หากแต่จำเป็นต้องกำหนดแนวทางการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างชัดเจน ทั้งในมิติของการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาล การพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับโลกยุคปัจจุบันภายใต้กระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงในหลากหลายมิติ เช่น สังคม เศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน และปัญหาอาชญากรรม เป็นต้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสร้างกลไกการกำกับดูแลและระบบตรวจสอบถ่วงดุลสถาบันอุดมศึกษาที่มีประสิทธิภาพ ทั้งจากสภาสถาบันและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ต้องถูกออกแบบและบังคับใช้อย่างจริงจัง โปร่งใส และปราศจากอิทธิพลทางการเมืองหรือระบบอุปถัมภ์ เพื่อให้การจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาเป็นไปตามหลักนิติรัฐ นิติธรรม และสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
การปฏิรูปการศึกษาที่แท้จริงจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้ หากยังละเลยปัญหาธรรมาภิบาลในสถาบันการศึกษา เพราะท้ายที่สุดแล้ว การเปลี่ยนแปลงประเทศต้องเริ่มจากการสร้างคน และการสร้างคนต้องเริ่มจากระบบการศึกษาที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และยึดประโยชน์สาธารณะเป็นศูนย์กลาง






