- 26 ส.ค. 2559
ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://panyayan.tnews.co.th
พระโอสถขนานเอก
กล่าวกันว่า ในยามที่ร่างกายป่วยไข้ได้รับบาดเจ็บ “ยาทางใจ” นับเป็นสิ่งสำคัญที่คอยเสริม “ยาทางกาย” ให้ทรงประสิทธิภาพมากขึ้น
อาจนับว่าพระอาการของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในครั้งนั้น ที่อาจเรียกได้ว่า “ดีวันดีคืน” จึงนอกจากจะเป็นด้วยทรงได้รับการถวายการรักษาจากคณะแพทย์เป็นอย่างดีแล้ว ยังเนื่องเพราะทรงมี “กำลังพระทัย” ที่ดีเยี่ยมเกื้อหนุนด้วยอีกประการหนึ่ง
ระหว่างที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประชวรจากอุบัติเหตุทางรถยนต์นั้น ทรงได้รับการถวายรายงานเกี่ยวกับความห่วงใยที่ประชาชนชาวไทยมีแด่พระองค์ด้วยพระราชหฤทัยที่เต็มตื้น
ที่สำคัญยิ่งก็คือ ยังทรงมีสมเด็จพระราชชนนีและสมเด็จพระเชษฐภคินี (สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา) ทรงอยู่คอยเฝ้าปรนนิบัติด้วยความห่วงใยอย่างที่สุด
อีกทั้ง...ยังมีสาวน้อยแห่งราชสกุล “กิติยากร” ผู้มีสิริโฉมงดงาม และกิริยาอ่อนหวานละมุนละม่อมอีกผู้หนึ่ง ที่คอยเฝ้าถวายการปรนนิบัติอย่างใกล้ชิดด้วยดวงใจที่เปี่ยมด้วยความปริวิตกไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
ภายหลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์ร้ายครั้งนั้นไปแล้ว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกระแสรับสั่งถึงความในพระทัยของพระองค์ว่า...เมื่อทรงฟื้นคืนพระสติครั้งแรกนั้น ทรงระลึกถึงบุคคลเพียง ๒ คน คือ สมเด็จพระราชชนนี และ...หม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์
ในภาพยนตร์สารคดีเรื่อง “ขวัญของชาติ” ที่ออกเผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์ บี.บี.ซี. กรุงลอนดอน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ได้นำเสนอพระราชดำรัส ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานสัมภาษณ์เอาไว้ถึงเหตุการณ์นี้ ตัดตอนความบางช่วงได้ว่า...ทันทีที่ตำรวจโทรศัพท์ไปกราบบังคมทูลสมเด็จพระราชชนนี (สมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี) พระองค์ท่านทรงรีบเสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมพระอาการทันที และเมื่อเสด็จฯ ถึงห้องที่ประทับในโรงพยาบาลแล้ว...
... “(พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว) ทรงหยิบรูปข้าพเจ้าออกมาจากกระเป๋า โดยที่ข้าพเจ้าไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าพระองค์ทรงมี ‘รูปของข้าพเจ้า’ อยู่ แล้วพระองค์ก็ตรัสให้นำตัวข้าพเจ้าเข้าเฝ้า”
ในขณะที่ ท่านผู้หญิงเกนหลง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ได้กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ ว่า
“สิ่งแรกเมื่อรู้สึกพระองค์คือทรงหยิบรูป ‘หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์’ ออกจากพระกระเป๋า ส่งถวายสมเด็จพระราชชนนี พร้อมกับรับสั่งว่า ‘แม่...เรียกสิริมาที’ ...”
แน่นอนว่า “ภาพหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์” ที่ว่านี้ เป็นภาพใบเดียวกับ “ภาพหมู่” ที่ทรงถ่ายให้กับคณะบุคคลที่มาเข้าเฝ้าฯ ที่สถานทูตไทยประจำประเทศฝรั่งเศส เมื่อคราวเสด็จฯ ปารีสครั้งแรกนั้นเอง
เพียงแต่รายละเอียดนั้นเปลี่ยนไป...
เพราะ...พระองค์ท่านทรงตัดเฉพาะใบหน้างามสดชื่นของหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์แยกเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว...ซึ่งไม่มีผู้ใดทราบว่าในหลวงทรงเก็บรูปใบเล็กนี้เอาไว้ในพระกระเป๋าส่วนพระองค์ ตั้งแต่เมื่อใด?
พระราชโทรเลขด่วนที่รับสั่งให้ราชองครักษ์ติดต่อไปยังหม่อมเจ้านักขัตรมงคล เพื่อให้หม่อมหลวงบัวพาหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์และหม่อมราชวงศ์หญิงบุษบา เข้าเฝ้าฯ เยี่ยมพระอาการประชวรที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์นั้น สร้างความตระหนกให้กับครอบครัว “กิติยากร” ยิ่ง และหม่อมหลวงบัวก็ได้นำธิดาทั้งสองเดินทางไปเข้าเฝ้าฯ ในทันทีด้วยความห่วงใยในพระอาการ
ท่านผู้หญิงบุษบา สธนพงษ์ (หม่อมราชวงศ์หญิงบุษบา กิติยากร ในอดีต) ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ในวันที่ “เข้าเฝ้าฯ เยี่ยมพระอาการประชวร” ด้วย ได้เคยเล่าถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น ในหนังสือ “ด้วยพลังแห่งรัก” ว่า
“ตอนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประสบอุบัติเหตุ ก็มีรับสั่งให้ครอบครัวเราเข้าเฝ้า เพราะทรงได้รับบาดเจ็บที่พระเนตรและพระเศียร คุณแม่ก็เข้าไปก่อน ตอนเข้าเฝ้าฯ ก็ให้จับพระหัตถ์ท่านแล้วบอกชื่อ พอถึงสมเด็จฯ ท่านก็ทูลว่า ‘หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เพคะ’ พระเจ้าอยู่หัวท่านทรงจับมืออยู่นานพอสมควรเลย...”
แม้มิต้องเปล่งพระสุรเสียง แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะสื่อความหมายในน้ำพระราชหฤทัยของพระมหากษัตริย์หนุ่ม ที่มีต่อหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ กิติยากร...
อย่างไรก็ตาม สำหรับหม่อมราชวงศ์หญิงผู้ทรงสิริโฉมนั้นเล่า ในช่วงเวลานั้น...
... “ข้าพเจ้าไม่ทราบมาก่อนว่า พระองค์ท่านทรง ‘รัก’ ข้าพเจ้า” (พระราชดำรัส สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จากภาพยนตร์สารคดีเรื่อง “ขวัญของชาติ” (สถานีโทรทัศน์ บี.บี.ซี. กรุงลอนดอน พ.ศ. ๒๕๒๑))
หลังจากพักอยู่ที่โลซานน์ได้ ๒-๓ วัน หม่อมหลวงบัวและธิดาคนเล็กก็ถวายบังคมลากลับ ในขณะที่หม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ยังคงอยู่ที่นครโลซานน์ต่อเพื่อเฝ้าพระอาการ และถวายการปรนนิบัติอยู่อย่างใกล้ชิดต่อไป จนกระทั่งพระอาการประชวรทุเลาลงและเสด็จฯ กลับไปทรงพักรักษาต่อที่พระตำหนักวิลล่าวัฒนาได้ ในปลายเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ นั้นเอง
แม้พระอาการโดยรวมของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเป็นที่พอใจของคณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา แต่พระองค์ท่านก็ยังต้องเสด็จฯ เข้าโรงพยาบาลอีกในเดือนต่อมา (๑๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๑) เพื่อให้แพทย์ทำการผ่าพระเนตรข้างขวา ซึ่งเกิดจากการที่กระจกรถยนต์ทะลุเข้าดวงพระเนตร ซึ่งหลังจากนั้น เอกอัครราชทูตประจำกรุงเบิร์น ได้รายงานว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จฯ ออกจากโรงพยาบาลกลับไปยังพระตำหนักฯ อีกครั้ง เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๑ และแพทย์ก็ได้รับความพอใจในผลการผ่าตัดครั้งนี้ นับว่าพระอาการของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อยู่ในเกณฑ์ดี
ตลอดช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานพระวรกายนั้น นอกจากสมเด็จพระราชชนนีและสมเด็จพระเชษฐภคินีผู้เป็นพระญาติใกล้ชิดที่สุดแล้ว หม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ จึงเป็นบุคคลสำคัญอีกผู้หนึ่งที่คอยถวายการดูแลอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด ทั้งยังเป็นเสมือน “พระโอสถขนานเอก” ซึ่งเปี่ยมประสิทธิภาพในการเยียวยาและเพิ่มกำลังพระราชหฤทัยได้อย่างวิเศษยิ่ง โดยเฉพาะในยามที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปริวิตกกับพระอาการเกี่ยวกับพระเนตรของพระองค์ท่านเอง
ทางด้านประเทศไทยนั้น...
เป็นอันว่าความคืบหน้าเกี่ยวกับพระอาการประชวรของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่มีการรายงานว่าพระอาการดีขึ้นโดยลำดับ ก็ทำให้ประชาชนที่รอคอยติดตามข่าวอยู่อย่างใจจดใจจ่อคลายความวิตกลงได้เปลาะหนึ่ง
ถึงแม้ว่ากระแส “ข่าวลือ” ที่แทรกซ้อนเข้ามา และแพร่กระจายไปทั่วสังคมไทยช่วงนั้นในเวลาอันรวดเร็ว จะทำให้ประชาชนที่ได้ยินหรือ ได้รับข่าวล้วนไม่อาจวางใจได้ หนำซ้ำยิ่งรู้สึกวิตกกังวลมากขึ้น
คือข่าวที่ว่า...เหตุร้ายที่อุบัติขึ้นครั้งนี้ อาจมิใช่ “อุบัติเหตุ”!!??
จากหนังสือเรื่อง อมตะ..แห่งรัก เรียบเรียงโดยสุวิสุทธิ์






