- 07 มี.ค. 2560
ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th
อย่าโทษแต่กรรมเก่า เพราะทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพราะผลของกรรมเก่าเสมอไป
ย้อนกลับไปที่การพยากรณ์กรรมเก่าของสำนักแก้กรรมอีกครั้ง... สมมุติว่า ชายคนหนึ่งเดินทางไปที่สำนักแก้กรรมเพราะเพิ่งได้รับการยืนยันจากแพทย์ว่าเขาเป็นโรคมะเร็งตับระยะที่หนึ่ง พอเล่าเรื่องราวของตนให้เจ้าสำนักแก้กรรมฟังแล้ว เจ้าสำนักแก้กรรมก็เริ่มนั่งหลับตาพยากรณ์กรรมเก่าทันที โดยอ้างว่าตนมีญาณทิพย์มองเห็นกรรมเก่าของชายคนนี้ เมื่อพยากรณ์แล้วก็อ้างว่า ชายคนนี้เคยทำกรรมชั่วบางอย่างไว้ในอดีตชาติ (เคยเกิดเป็นนายพรานฆ่าสัตว์ตัดชีวิต) ด้วยผลของกรรมอันนั้นจึงทำให้เขาเจ็บป่วยเป็นโรคมะเร็งในชาตินี้ จากนั้นเจ้าสำนักก็บอกวิธีแก้กรรม (ด้วยพิธีกรรมต่างๆ) ให้เขาปฏิบัติ
นี่คือตัวอย่างของการโทษแต่กรรมเก่าของสำนักแก้กรรมส่วนใหญ่ เจ้าสำนักจะมีญาณทิพย์จริงหรือไม่ ไม่มีใครรู้ได้ แต่ที่แน่นอนก็คือ เจ้าสำนักไม่รู้จักคำสอนของพระพุทธเจ้า
ในสิวกสูตร[1] พระพุทธเจ้าทรงอธิบายเรื่องของทุกขเวทนา (การเสวยความรู้สึกทุกข์) โดยชี้เฉพาะลงไปยังทุกขเวทนาที่เกิดกับร่างกายของมนุษย์ พระสูตรนี้อธิบายถึงที่มาของทุกขเวทนาทางร่างกายว่าเกิดจากสาเหตุต่างๆ ๘ ประการ สาเหตุที่เกิดจากผลของกรรมเก่าก็เป็นสาเหตุหนึ่ง แต่ก็เป็นเพียง ๑ ใน ๘ ของสาเหตุทั้งหมดเท่านั้น ไม่ใช่ว่าทุกขเวทนาทั้งหมดจะเกิดจากผลของกรรมเก่าเพียงอย่างเดียว พระพุทธวจนะนี้จึงเป็นการตบหน้าลัทธิกรรมเก่าอย่างชัดเจน
[1] สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค, พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๘ ข้อที่ ๔๒๗-๔๒๙
ในพระสูตรดังกล่าวเล่าว่า มีปริพาชก (นักบวชนอกพุทธศาสนา) คนหนึ่ง ถามพระพุทธเจ้าว่า บุคคลเสวยสุข ทุกข์ เพราะกรรมเก่าเป็นเหตุจริงหรือไม่? พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า ทุกขเวทนาอันเป็นไปในสรีระ (หมายถึงความเจ็บป่วยทางกาย) เกิดขึ้นเพราะสมุฏฐานหรือสาเหตุ ๘ ประการ คือ
๑. มี “ดี” เป็นสาเหตุ หมายความว่า ทุกขเวทนาอาจจะเกิดจากถุงน้ำดีทำงานไม่ปกติ เช่น เป็นนิ่วในถุงน้ำดี ซึ่งทำให้ปวดท้องได้
๒. มี “เสมหะ” เป็นสาเหตุ หมายความว่า ทุกขเวทนาอาจจะเกิดจากเมือกในลำคอซึ่งก่อให้เกิดการระคายเคืองของระบบทางเดินหายใจ
๓. มี “ลม” เป็นสาเหตุ หมายความว่า ทุกขเวทนาอาจจะเกิดจากความผิดปกติของลมในร่างกาย หรือหมายถึงความผิดปกติของความดันโลหิต
๔. มีทั้งดี เสมหะ และลม เป็นสาเหตุร่วมกัน
๕. มี “การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล” เป็นสาเหตุ หมายความว่า ทุกขเวทนาอาจจะเกิดจากการที่ร่างกายต้องประสบกับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิโดยฉับพลัน จนทำให้เจ็บไข้ได้ป่วย
๖. มี “การรักษาตัวไม่สม่ำเสมอ” เป็นสาเหตุ หมายความว่า ทุกขเวทนาอาจจะเกิดจากการประพฤติตัวที่ไม่เหมาะสม เช่น การที่ร่างกายต้องตรากตรำทำงานหนัก ไม่ได้พักผ่อน ร่างกายอ่อนแอเพราะไม่ได้ออกกำลังกายหรือบริหารร่างกายให้แข็งแรง
๗. มี “การถูกทำร้าย” เป็นสาเหตุ หมายความว่า ทุกขเวทนาอาจจะเกิดจากการถูกผู้อื่นหรือสัตว์อื่นทำร้ายร่างกาย เช่น ถูกตี ถูกต่อย
๘. มี “ผลของกรรม” เป็นสาเหตุ หมายความว่า ทุกขเวทนาอาจจะเกิดจากผลของกรรม (กรรมชั่ว) ที่เคยทำในอดีต (ไม่ว่าจะเป็นอดีตในชาติก่อนหรืออดีตในชาติปัจจุบันก็ตาม) ส่งผลให้เจ็บป่วยหรือได้รับทุกขเวทนา
จะเห็นได้ว่า การที่คนเราได้รับทุกขเวทนาทางร่างกายนั้นมีสาเหตุหลายอย่าง ไม่ใช่เป็นเพียงเพราะสาเหตุที่มาจากผลของกรรมเก่าเท่านั้น
เรื่องของชายคนที่เป็นโรคมะเร็งก็เช่นกัน เจ้าสำนักแก้กรรมได้พยากรณ์กรรมเก่าโดยที่ไม่ถามเขาสักคำว่า ก่อนหน้านี้ เขามีพฤติกรรมใดบ้างที่อาจจะเป็นสาเหตุของความเสี่ยงที่ทำให้เป็นโรคมะเร็ง ถ้าเจ้าสำนักถามสักนิดก็จะรู้ว่า ชายคนนี้ชอบดื่มสุราเป็นชีวิตจิตใจ และดื่มมากจนเป็นโรคตับแข็งซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งตับ ถ้าเราจะวิเคราะห์ว่า ทุกขเวทนาอันได้แก่ความเจ็บป่วยจากโรคมะเร็งของชายคนนี้เกิดจากสาเหตุใดในบรรดาสมุฏฐานทั้ง ๘ อย่าง ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน ก็จะได้ความว่า ที่ชายคนนี้เป็นโรคมะเร็งอาจมีสาเหตุมาจาก “การรักษาตัวไม่สม่ำเสมอ” ของเขาเองก็เป็นได้ ไม่ได้เกิดจาก “ผลของกรรมเก่า” ตามที่เจ้าสำนักแก้กรรมกล่าวอ้างแต่อย่างใด
ดังนั้น การเพ่งโทษว่า ทุกขเวทนาหรือโรคภัยไข้เจ็บที่ร้ายแรงทั้งหลายล้วนเกิดจากผลของกรรมเก่า จึงผิดไปจากหลักคำสอนของพุทธศาสนาอย่างแน่นอน
จินต์จุฑา รายงาน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : หนังสือ พุทธแท้แก้กรรมด้วยธรรมดี