- 29 มี.ค. 2560
ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th
ความจริงสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมิใช่พระมหากษัตริย์สยามพระองค์แรกและพระองค์เดียวที่มีความปราถนาในพระโพธิญาณ อย่างน้อยเราก็พบว่า มีพระมหากษัตริย์อีก ๓ พระองค์ที่ปรารถนาในพุทธภูมิ คือ พระมหาธรรมราชาลิไท แห่งกรุงสุโขทัย (ผู้รจนาคัมภีร์ไตรภูมิพระร่วง) และสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ในสมัยอยุธยา
เช่นเดียวกับพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว “...ทรงปรารถนาพระโพธิญาณศรัทธิกบารมี...” ที่จารึกในฐานพระสมุทรเจดีย์ สมุทรปราการ
และความที่ยกมาในตอนที่ทรงอธิษฐานเสี่ยงทายว่าจะได้บรรลุซึ่งพระสัมมาสัมโพธิญาณที่วัดกลางดอยเขาแก้วก็มิใช่ครั้งแรกและครั้งเดียวที่พงศาวดารกล่าวถึงปรารถนาแห่งพระโพธิญาณของพระเจ้าตากฯ
ดังเมื่อครั้งเสร็จศึกอะแวหวุ่นกี้ปี ๒๓๑๙ ก็ได้ทรงโปรดให้มีงานบุญใหม่พระราชพิธีบังสุกุลพระอัฐิของพระมารดา พระเจ้าตากฯ ก็ทรงอธิษฐานว่า
“เดชะผลทานบูชานี้ ขอจงยังพระลักขณะ พระปิติทั้ง๕ จงบังเกิดแก่ข้าพเจ้า และอย่าได้อันตรธาน และพระธรรมซึ่งยังมิได้บังเกิดขึ้น ขอจงบังเกิดภิญโญภาพยิ่งๆ ขึ้น อนึ่งขอจงเป็นปัจจัยแก่พระบรมภิเษกสมโพธิญาณในอนาคตกาลภายภาคหน้า”
ความปรารถนานี้สะท้อนอยู่ในคำถวายพระพรไม่ว่าจะเป็นจากฝ่ายพุทธาจักรหรือฝ่ายอาณาจักร
“(ข้อให้ได้)...ตรัสเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้าในมหาพัทกัปประดับพระศาสนา ไปโปรดสัตว์ในโลกียนี้...” (คำถวายพระพรพระเจ้ากรุงธนุรีของคณะสงฆ์)
หรือมีกรณีที่ นายสอน มหาดเล็กได้ถวายพระพรก็ระบุไว้ชัดเรื่องให้ทรงได้บรรลุพระโพธิญาณ
“จะภิญโญภาพด้วย ปรีชาญ
ตราบตรัสโพธิญาณราญ บาปแคล้ว
จะเรืองเกียรติพิศาล สุดโลก
ด้วยบุรพบารมีแกล้ว เลิศล้ำแดนไตร
ขอพระพุทธเรื้อง สัพพัญญู
จงแผ่พระเดชชู ปิ่นเกล้า
ตราบเสด็จโพธิญาณตรู ตราโลก
ตัดเด็ดปัญจขันธ์เข้า สู่ห้องนฤพาน”
ไม่มีหลักฐาน(อาจเพราะความไม่รู้ของผู้เขียนเอง) ว่าด้วยพระเจ้าตากฯ ทรงเริ่มปรารถนาพระโพธิญาณเมื่อไหร่? ด้วยเหตุผลกลใด?
ตามพระราชประวัติที่เราพอรับรู้รับทราบ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงเรียนหนังสือไทย หนังสือขอมและพระไตรปิฎกกับพระอาจารย์ทองดีตั้งแต่อายุ ๕ ขวบ เมื่ออายุ ๒๑ ครบบวช ก็ทรงผนวชอยู่ในสำนักพระอาจารย์ทองดี ๓ พรรษา จึงลาสิกขาออกมารับราชการ ทั้งนี้อนุมานว่าน่าจะทรงรู้พระธรรมวินัยและพระไตรปิฎกอยู่ในระดับดีแต่ก็ไม่มีตรงไหนที่โยงใยไปถึงสาเหตุหรือไปถึงสาเหตุหรือที่มาในความปรารถนาเช่นนั้น
แต่ในสมัยของพระองค์นั้นความปรารถนาเช่นนี้อาจมิใช่เรื่องแปลกใหม่ และที่น่าสังเกตก็คือไม่จำเป็นว่าเฉพาะพระมหากษัตริย์เท่านั้นที่จะปรารถนาเช่นนี้ได้
ฝ่ายตรงข้ามกับพระเจ้าตากฯ คือพระยาสุริยอภัยที่เป็นทัพหน้าเข้ามาปราบกบฏพระยาสรรค์หลังจากที่พระเจ้าตากฯ สละราชสมบัติออกผนวชแล้ว จนเกิดเป็นสงครามกลางกรุงธนบุรีขึ้น ในยามเพลี่ยงพล้ำเจอฝ่ายตรงข้าม (ที่นำทัพรบกับกรมขุนอนุรักษ์สงคราม-ที่ถูกจับพร้อมพระเจ้าตากฯ แต่ฝ่ายพระยาสรรค์ไปปล่อยตัวออกมาให้นำทัพรบกับพระสุริยอภัย) ลอบวางเพลิงให้ลมพัดไฟลามมาถึงที่มั่น ก็ได้ตั้งอธิษฐานว่า
“ข้าฯบำเพ็ญศีลทานการกุศลใด ๆ ก็ปรารถนาพระโพธิญาณสิ่งเดียว เดชะความสัจจะนี้ ขอให้พระพายพัดกลับคืนไป อย่าได้ไหม้มาถึงบ้านเรือนข้าฯ ได้เลย พอตกวจีสัตยาอธิษฐานลง ลมก็พัดกลับคืนไป เพลิงก็ไหม้อยู่แต่ภายนอกบ้าน ประจักษ์แก่ตาคนทั้งปวง”
(พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ(เจิม))
หรือแม้ชาวบ้านก็ปรารถนาได้เช่นกัน
“ความปรารถนาพุทธภูมินี้มิได้เป็นคติความเชื่อของพระมหากษัตริย์เท่านั้น ชาวบ้านทั่วไปก็มีความเชื่อดังกล่าวเช่นกัน ซึ่งสามารถสืบสาวย้อนหลังไปได้นับพันปี ในศิลาจารึกสมัยพุทธศตวรรษที่๑๓-๑๔ ที่จังหวัดนครราชสีมามีข้อความตอนหนึ่งว่า ขอให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย จงเป็นพุทธองค์ และลุถึงพุทธภูมิ มาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ความเชื่อดังกล่าวก็ยังแพร่หลายในหมู่ประชาชน ถึงขั้นที่ยอมสละชีวิตเผาตัวตายที่วัดอรุณ” จวบจนสมัยรัชกาลที่ ๔ ความเชื่อดังกล่าวก็ยังอิทธิพลอยู่มาก จนระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงออกประกาศสั่งห้ามกระทำการดังกล่าว..”
ภิกษุณีธัมนันทา(ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์) ได้ตั้งข้อสังเกตไว้อีกมุมมองว่า ความปรารถนาในพุทธภูมิของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีนี้ดูจะ แปลก ไปจากคติของพุทธเถรวาทในปัจจุบัน ที่มุ่งปรารถนา “พระนิพพาน” หรือ อรหันต์ภูมิ (รัชกาลที่๑ และรัชกาลที่๒ ก็ทรงแสดงพระประสงค์เช่นนี้) มากกว่าที่จะมุ่งบำเพ็ญ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป
แต่สำรับคติพุทธเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนในฝ่ายมหายาน คือ “ปรารถนาในพุทธภูมิ” ด้วยกันทั้งสิ้น
อันจะสอดคล้องกับข้อความในพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ(เจิม) ที่ระบุว่าการตัดสินพระทัยเป็นพระมหากษัตริย์หลังทรงกู้แผ่นดินคืนมาได้จากพม่านั้น เป็นไปโดยมีเหตุผลทางธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องมิใช่เหตุผลทางการเมืองล้วน ๆ คือ ทรงคิดว่าเป็นกษัตริย์ช่วยเหลือเหล่าอาณาประชาราษฎร์นั้นเป็นการบำเพ็ญบารมีตามวิถีแห่งพระโพธิสัตว์
โดยไม่ทรงเลือกเดินในวิถีแห่งพระอรหันต์ในตอนนั้น
แต่ไม่ว่าคติ “บารมี๑๐ทัศ” ของฝ่ายเถรวาทก็ดี หรือ “ปารมิตา๖” ของฝ่ายมหายานก็ดี คติเหล่านี้สะท้อนว่า ผู้ปรารถนาพุทธภูมิต้อง
- ตั้งจิตมั่นในพุทธภูมิ
- ในการตั้งจิตจะต้องมี ปณิธาน๔ คือ มุ่งมั่นเพื่อบรรลุการรู้แจ้ง มุ่งมั่นแสวงหาความรู้ทั่วไป มุ่งมั่นสอนเวไนยสัตว์ และช่วยสรรพสัตว์ให้ถึงซึ่งการรู้แจ้ง
- มีศีลของพระโพธิสัตว์ ๕๘ ข้อ
- ต้องสร้างสมบารมี๖ (ทาน ศีล ขันติ วิริยะ ญาณ ปัญญา) หรือ “บารมี๑๐(ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา)
ซึ่งแน่นนอว่าพงศาวดารย่อมต้องมีบันทึกถึงการบำเพ็ญพระบารมีของพระเจ้าตากฯ ตั้งแต่ครั้งที่ยังทรงครองราชย์ใหม่ ๆ
"...ครั้งนั้นหมู่คนอาสัตย์ซึ่งคุมพรรคพวกตั้งอยู่กระทำโจรกรรม ณ.หัวเมืองเอก โท ตรี จัตวา มิได้เชื่อพระบรมธิคุณและตั้งตัวเป็นใหญ่นั้นก็บันดาลให้สยบสยองพองเศียรเกล้า ชวนกันนำเครื่องราชบรรณาการต่างๆเข้ามาถวายเป็นอันมาก ทรงพระกรุณา...พระราชทานโอวาทานุศาสตร์ สั่งสอนให้เสียพยศอันร้ายให้ตั้งอยู่ในยุติธรรม ขณะนั้นลูกค้าวาณิชได้ทำมาค้าขายเป็นสุขบริบูรณ์ด้วยอาหาร ได้บำเพ็ญทศบุญกิริยาวัตถุกุศลต่างๆฝ่ายสมณะก็รับจัตุปัจจัยทานเป็นสุขบริโภคให้บำเพ็ญสมณธรรมตามสมณกิจ
"จำเดิมแต่นั้นมาพระพุทธศาสนาก็ค่อยๆวัฒนาการ รุ่งเรืองเฟื่องฟูขึ้นเหมือนแต่ก่อน และสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็เจริญพระราชกฤดาธิคุณไพบูลย์ภิยโยภาพยิ่งขึ้นไป ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินก็ค่อยมีความผาสุกสนุกสบายบริบูรณ์ คงคืนขึ้นเหมือนเมื่อครั้งแผ่นดินกรุงเก่ายังปกติดีอยู่นั้น..."
(พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับ พันจันทนุมาศ (เจิม))
จากข้อความในพงศาวดารที่ยกมาข้างต้นก็พอสะท้อนเรื่องนี้ได้บ้างประมาณหนึ่ง
คำถามในกรณีนี้ก็คือ มีอะไรหรือไม่ที่เป็น "ร่องรอย" ให้เห็นว่าสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรง "มุ่งมั่น" ในพระโพธิญาณจริงๆ มิใช่การเขียนพงศาวดารในธรรมเนียม "ยอพระเกียรติ"
กิจการในพระศาสนาของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ไม่ว่าจะเป็นทรงให้รวบรวม จารคัมภีร์บาลี ทั้งพระไตรปิฎก อรรถกถา ฯลฯ หรือทรงโปรดให้สร้าง "สมุดภาพไตรภูมิ" สนับสนุนพระภิกษุสงฆ์ทั้งในด้านปริยัติและปฏิบัติ สร้างกุฏิ สร้างวัด หรือกระทั่งชำระภิกษุสงฆ์ที่ทำผิดพระธรรมวินัย ก็เหมือนมีบันทึกว่าดำเนินไปไม่ต่างจากที่พระมหากษัตริย์พระองค์อื่นๆได้ทรงกระทำ
ในเรื่องนี้มองได้ว่าเป็นคติเทวราชาที่รับมาจากศาสนาพราหมณ์ (ที่กล่าวว่าพระมหากษัตริย์คือองค์อวตารที่ลงมาทำหน้าที่พิทักษ์ปกป้องราษฎร) กับคติที่มองว่าพระมหากษัตริย์เป็นพระโพธิสัตว์ (ที่ถือเอาการสร้างความผาสุกให้แก่อาณาประชาราษฎร์เป็นการบำเพ็ญเพียรสร้างสมบารมี) ได้ผสมผสานสืบเนื่องกันมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ดังจะเห็นได้จากการถวายพระนามของพระมหากษัตริย์ดุจเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งอนุมานว่าในด้านหนึ่งความปรารถนาในพระโพธิญาณของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีแม้จะมีมาก่อนที่จะทรงเป็นกษัตริย์ แต่เมื่อได้ปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์แล้วความปรารถนาดังกล่าวก็แยกไม่ออกจากคติ "พระพุทธเจ้าอวตาร" ที่มีมาแต่ก่อนเก่า
แต่สิ่งที่ควรตั้งข้อสังเกตไว้ด้วยก็คือพระเจ้าตากฯทรง "บำเพ็ญ" บารมี ในขณะเดียวกันนั้นแผ่นดินกรุงธนบุรีก็ไม่อยู่ในภาวะสงบสุขอย่างสมบูรณ์เพราะต้องติดพันการศึกน้อย-ใหญ่เกือบตลอดรัชกาล รวมแล้วเป็นมีสงครามเกิดขึ้น ๑๕ ครั้ง กล่าวโดยเฉลี่ยคือประมาณปีละครั้ง
และพระองค์ก็เห็นเรื่องศึกสงครามเป็นเรื่องจริงจัง ถึงกับมีบันทึกเอาไว้ว่าเมื่อคราวศึกบางแก้ว ที่ราชบุรีในปี ๒๓๑๗ พระองค์ทรงทราบข่าวพระอาการประชวรหนักของสมเด็จพระราชมารดาถึงกับตรัสว่า "พระโรคเห็นหนักจะมิได้ไปทันเห็นพระองค์ ด้วยการแผ่นดินครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ครั้นจะไปบัดนี้ ไม่เห็นผู้ใดที่ไว้ใจให้อยู่ต้านต่อข้าศึกได้" สุดท้ายก็หักพระทัยไม่เสด็จกลับ สมเด็จพระมารดาของพระองค์ก็สวรรคตในคราวที่พระองค์ติดศึกอยู่นั่นเอง
ในคราวนั้นเมื่อทัพกรุงธนบุรีล้อมพม่าไว้หมด ไม่มีทางที่พม่าจะตีหักหนีออกมาได้ ถ้าจะระดมยิงเข้าไปในค่ายพม่าหมายสังหารพม่าให้ตายให้หมดก็สามารถทำได้แต่ก็ไม่ทรงโปรดให้ทำ จนสุดท้ายพม่าก็ยอมแพ้มาสวามิภักดิ์เอง
กรณีนี้คือตัวอย่างที่มักถูกยกมากล่าวถึงความเป็นนักรบที่ "ทรงภูมิธรรมชั้นสูง" ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
แต่จริงๆแล้วก็ไม่มีกรณีใดที่จะพอจะมิให้ตั้งข้อสงสัยว่า "ใช่หรือไม่ใช่การยอพระเกียรติ?" หรือในทางกลับกันคือทรงมุ่งหมายในพุทธภูมิจริงๆ
เว้นไปจากการทรงพระกรรมฐานอย่างจริงจัง ซึ่งจริงๆเรื่องนี้ก็สอดคล้องกับเหตุการณ์เมื่อคราวติดศึกที่บางแก้วจนมิได้กลับมาเฝ้าพระพันปีหลวงตอนสวรรคต เพราะหลักฐานว่าพระเจ้าตากฯทรงพระกรรมฐานปรากฏขึ้นครั้งแรกเมื่อคราวที่จัดงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระอัฐิสมเด็จพระพันปีหลวง
ทรง "บำเพ็ญ "ญาณ" บารมี" ถวายเป็นพระราชกุศลให้กับพระมารดา
และหลักจากนั้นก็ทรงปฏิบัติเรื่อยมา อย่างจริงจัง
การบำเพ็ญ "ฌาน" บารมี หรือ ทรงพระกรรมฐานของพระเจ้าตากฯจึงเป็นประจักษ์พยานอันสำคัญยิ่ง
ประจักษ์พยานที่ชัดเจนถึงความมุ่งมั่นในพระโพธิญาณ
และประจักษ์พยานแห่งความแปลกแยกอันสั่นคลอนพระราชอำนาจไปด้วยพร้อมๆกัน
อ่านเพิ่มเติม : หาชมยาก!! “สมุดภาพไตรภูมิสมัยกรุงธนบุรี” จากพระราชศรัทธาของ พระเจ้าตากสิน อีกหนึ่ง ราชภารกิจบนเส้นทางแห่งพระโพธิสัตว์
จากหนังสือ ธรรมะของพระเจ้าตาก โดย เวทิน ชาติกุล
สนใจสั่งซื้อหนังสือ ติดต่อ Line ID : @gppbook / FB : Gppbook
สอบถามเพิ่มเติมโทร 02 5254242 ต่อ 201-202