- 28 เม.ย. 2560
ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นพระโอรสลำดับที่ 62 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4
พระมารดาคือ พระสัมพันธวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิงพรรณราย ประสูติเมื่อวันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2406 และทรงเป็นต้นราชสกุล “จิตรพงศ์”
ในด้านหนึ่ง ทรงเป็นเจ้าฟ้าฯผู้เชี่ยวชาญศิลปะแขนงต่างๆ ทั้งวิจิตรศิลป์ สถาปัตยศิลป์ ดุริยางคศิลป์ และวรรณศิลป์ ในช่วงเวลาที่กระแสอารยธรรมตะวันตกถาโถมเข้าใส่สยาม ศิลปะของเราซึ่งมีระเบียบแบบแผนขนบธรรมเนียมเคร่งครัด ต้องเผชิญหน้ากับการท้าทายจากอิทธิพลของศิลปะตะวันตก พระองค์ทรงประยุกต์ปรับปรุงวิจิตรศิลป์ซึ่งเป็นศิลปะประจำชาติไทยด้วยการศึกษาเชิงลึกถึงรากเหง้า และคลี่คลายรูปแบบทางศิลปะให้มีความเป็นสากลจนเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลก อันเป็นการประกาศถึงความเป็นอารยประเทศที่มีรากฐานทางศิลปวัฒนธรรมอันงดงามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าชาติใดในโลก
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นเจ้าฟ้าผู้ทรงพระปรีชาสามารถในวิชาการหลายแขนง ทรงเป็นปราชญ์ทางอักษรศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ดนตรี และงานช่าง พระองค์มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าจิตรเจริญ ทรงได้รับการศึกษาขั้นต้นที่โรงเรียนคะเด็ตทหาร จากนั้นผนวชเป็นสามเณรอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร หลังจากนั้นทรงศึกษาวิชาการต่าง ๆ และราชประเพณี
ตลอดพระชนม์ชีพทรงอุทิศเวลาให้แก่การสร้างสรรค์ “งานช่าง” หลากสาขา ผลงานที่ทรงรังสรรค์ไว้นับเป็นต้นแบบและแรงบันดาลใจที่สำคัญให้แก่ช่าง
และศิลปินในยุคหลัง ทรงเป็นกำลังสำคัญในการอนุรักษ์มรดกศิลปกรรมไทย และทรงส่งเสริมผู้มีความรู้ความสามารถให้เป็นกำลังสำคัญในการสืบทอดมรดกงานช่างศิลป์ไทยจนได้รับยกย่องให้เป็น
“ สมเด็จครู “ ของช่างทั้งปวง
ตราประจำพระองค์ รูปราชสีห์ถือดาบ บริเวณขอบมีอักษรภาษาบาลี “กตัสส นัตถิ ปฎิการํ ปเควตํปริกันตํ”แปลว่า สิ่งที่ทำแล้ว จะทำคืนมิได้ จงพิจารณาสิ่งที่จะทำนั้นก่อน ตราดวงนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้ และทรงยืดเป็นหลักธรรมประจำพระองค์มาตลอดพระชนม์ชีพ
** อักษรพระนาม “น ในดวงใจ” อักษร “น” ย่อมาจากพระนาม “นริศ” ส่วนรูปหัวใจหมายถึงพระนามเดิม “พระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าจิตรเจริญ” ซึ่งได้รับพระราชทานจากพระราชบิดา (รัชกาลที่ 4) อีกด้านหนึ่ง ทรงเป็นเสนาบดีสี่กระทรวง ผู้นำทางทหาร ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ฯ และรัฐบุรุษผู้ทรงพระปรีชา และมีคุณูปการต่อประเทศชาติเป็นอย่างยิ่ง ดังจะเห็นได้จากเมื่อครั้งที่มีการจัดตั้งกรมโยธาธิการขึ้นในปี พ.ศ. 2432 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นเจ้ากรมหรืออธิบดีกรมฯ พระองค์แรก ด้วยทรงมีคุณสมบัติเหมาะสมในการทำหน้าที่สนองพระบรมราโชบาย และเมื่อกรมฯแห่งนี้ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นกระทรวง ก็ทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ ทำหน้าที่ควบคุมดูแลงานโยธาและงานก่อสร้างทั่วประเทศ พระองค์ทรงอุตสาหะศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมทั้งงานช่างแผนเก่าและแผนใหม่ทั้งวิทยาการด้านการก่อสร้าง การรถไฟ และการสื่อสารโทรคมนาคม จนได้รับพระสมัญญานามว่า “นายช่างใหญ่แห่งกรุงสยาม” อีกทั้งยังได้บริหารงานราชาการโดยทรงกำหนดนโยบายการทำงานที่ว่า “...กิจการของรัฐบาล ควรแบ่ง เป็น 3 ข้อ คือปกครองฝ่ายหนึ่ง ป้องกันฝ่ายหนึ่ง ทะนุบำรุงฝ่ายหนึ่ง...” และวางรากฐานงานใหม่ๆ อันเป็นต้นแบบให้หน่วยงานอื่นปฏิบัติสืบทอดต่อมาจนถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงมีผลงานออกแบบซ่อมสร้างอีกมากมาย อาทิ หมู่พระที่นั่งในพระบรมมหาราชวัง โดยเฉพาะพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และปราสาทเทพบิดร ออกแบบพระที่นั่งราชฤดี ประตูและกำแพงวังท่าพระ รวมถึงงานสถาปัตยกรรมชิ้นเอกอีกหลายแห่ง อาทิ วัดเบญจมบพิตร อุโบสถวัดราชาธิวาส ออกแบบพระเมรุมาศในงานพระศพของพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ และทรงทูลขอปรับปรุงพื้นที่สนามหลวงให้เป็นพื้นที่ประกอบพระราชพิธีต่างๆ จัดงานสำคัญ รวมถึงเป็นศูนย์รวมให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ ร่วมชุมชน จัดกิจกรรม การแสดง และการละเล่นมหรสพต่างๆ ดังที่ได้เห็นกันอยู่ในทุกวันนี้
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ 2 วาระ ครั้งแรกเมื่อกรมฯ ยกฐานะเป็นกระทรวงในปี พ.ศ. 2435 และทรงกลับมาบริหารกระทรวงแห่งนี้อีกครั้งในช่วงปี พ.ศ. 2442-2448 ส่วนมูลเหตุที่ต้องทรงเปลี่ยนไปบริหารส่วนราชการหลายกระทรวงนั้น สะท้อนให้เห็นได้จากความในพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ว่า “...การที่ต้องทรงย้ายรับราชการเป็นหลายกระทรวงนั้น เพราะทรงพระปรีชาสามารถอาจวางเนติแบบอย่างในราชการให้เป็นบรรทัดฐานมั่นคง ดำเนินในทางที่ควรที่ชอบได้มีพระอัธยาศรัยมั่นคงองอาจมิได้หวาดไหว ดำรงอยู่ในความสัตย์สุจริตเป็นที่ตั้ง... ”
พระราชกรณียกิจ ด้านราชการ
พระองค์ทรงเป็นเสนาบดีหลายกระทรวงทั้งกระทรวงโยธาธิการ กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ กระทรวงกลาโหม กระทรวงวัง
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงตำแหน่งอภิรัฐมนตรีที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน อุปนายกราชบัณฑิตยสภา แผนกศิลปากร และพระองค์ยังได้รับการแต่งให้ให้ดำรงตำแหน่งผู้กำกับการพระราชวงศ์ มีหน้าที่สนองพระเดชพระคุณในพระราชกรณียกิจส่วนพระองค์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระราชวงศ์พระองค์ใดที่มีกิจที่ไม่ต้องกราบบังคมทูลพระกรุณาก็ให้ติดต่อกราบบังคมทูลต่อพระองค์แทน นอกจากนี้ ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จยังต่างประเทศ พระองค์ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2476 จนกระทั่ง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ พระองค์จึงพ้นจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ด้านศิลปกรรม
งานสถาปัตยกรรมที่โปรดทำมากคือ แบบพระเมรุ โดยตรัสว่า "เป็นงานที่ทำขึ้นใช้ชั่วคราวแล้วรื้อทิ้งไป เป็นโอกาสได้ทดลองใช้ปัญญาความคิดแผลงได้เต็มที่ จะผิดพลาดไปบ้างก็ไม่สู้กระไร ระวังเพียงอย่างเดียวคือเรื่องทุนเท่านั้น"
ด้านสถาปัตยกรรม
งานด้านสถาปัตยกรรมเป็นงานที่พระองค์ทรงพิถีพิถันอย่างมาก เพราะตรัสว่า "ต้องระวังเพราะสร้างขึ้นก็เพื่อความพอใจ ความเพลิดเพลินตา ไม่ใช่สร้างขึ้นเพื่ออยากจะรื้อทิ้ง ทุนรอนที่เสียไปก็ใช่จะเอาคืนมาได้ ผลที่สุดก็ต้องทิ้งไว้เป็นอนุสาวรีย์สำหรับขายความอาย"การออกแบบก่อสร้างพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตร ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. 2442 การออกแบบก่อสร้างอาคารเรียนโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร เริ่มก่อสร้างเมื่อ วันที่ 4 มิถุนายน รัตนโกสินทรศก 121(พ.ศ. 2445)หรือ ร.ศ. 121
ด้านภาพจิตรกรรม
ภาพเขียน
ภาพเขียนสีน้ำมันประกอบพระราชพงศาวดาร แผ่นดินพระเจ้าท้ายสระครั้งกรุงศรีอยุธยา เป็นภาพช้างทรงพระมหาอุปราชแทงช้างพระที่นั่ง ภาพเขียนรถพระอาทิตย์ที่เพดานพระที่นั่งภานุมาศจำรูญ (พระที่นั่งบรมพิมาน)
ภาพประกอบเรื่องธรรมาธรรมะสงคราม
ภาพแบบพัดต่างๆ
ฯลฯ
งานออกแบบ
ออกแบบตรากระทรวงต่างๆ, อนุสาวรีย์ทหารอาสาสงครามโลกครั้งที่ 1, องค์พระธรณีบีบมวยผมที่เชิงสะพานผ่านพิภพลีลา พระบรมรูปหล่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชที่เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้า และทรงออกแบบพระเมรุมาศ และพระเมรุของพระบรมวงศ์หลายพระองค์
ด้านวรรณกรรม
มีทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง เช่น โคลงประกอบภาพจิตรกรรมภาพพระราชพงศาวดาร, โคลงประกอบเรื่องรามเกียรติ์ ทรงพระนิพนธ์เมื่องานฉลองพระนครครบรอบร้อยปี, ลายพระหัตถ์โต้ตอบประทานบุคคลต่างๆ เช่น จดหมายเวรโต้ตอบกับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ลายพระหัตถ์ประทานความรู้ในลักษณะจดหมายโต้ตอบพระสารประเสริฐและพระยาอนุมานราชธน เรื่องภาษาและประเพณี ลายพระหัตถ์โต้ตอบเหล่านี้ เป็นเหมือนคลังความรู้สำหรับผู้สนใจใฝ่ศึกษาค้นคว้าทั่วไป
ด้านดุริยางคศิลป์และนาฏศิลป์
ทรงสนพระทัยทั้งดนตรีไทยและดนตรีสากล โดยเฉพาะดนตรีไทยนั้นทรงฝึกฝนมาแต่พระเยาว์ ทรงถนัดเล่นปี่พาทย์และระนาดมากกว่าเครื่องดนตรีอื่นๆ
เพลงพระนิพนธ์
เพลงสรรเสริญพระบารมี (คำร้อง)
เพลงเขมรไทรโยค
เพลงตับ เช่น ตับแม่ศรีทรงเครื่อง ตับเรื่องขอมดำดิน
ด้านบทละคร
ทรงนิพนธ์บทละครดึกดำบรรพ์ไว้หลายเรื่อง เช่น
สังข์ทอง ตอนทิ้งพวงมาลัย ตีคลี และตอนถอดรูป
คาวี ตอนเผาพระขรรค์ ชุบตัว และตอนหึง
อิเหนา ตอนตัดดอกไม้ฉายกริช ไหว้พระ และตอนบวงสรวง
รามเกียรติ์ ตอนศูรปนขาตีสีดา
นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงมีผลงานออกแบบซ่อมสร้างอีกมากมาย อาทิ หมู่พระที่นั่งในพระบรมมหาราชวัง โดยเฉพาะพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และปราสาทเทพบิดร ออกแบบพระที่นั่งราชฤดี ประตูและกำแพงวังท่าพระ รวมถึงงานสถาปัตยกรรมชิ้นเอกอีกหลายแห่ง อาทิ วัดเบญจมบพิตร อุโบสถวัดราชาธิวาส ออกแบบพระเมรุมาศในงานพระศพของพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ และทรงทูลขอปรับปรุงพื้นที่สนามหลวงให้เป็นพื้นที่ประกอบพระราชพิธีต่างๆ จัดงานสำคัญ รวมถึงเป็นศูนย์รวมให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ ร่วมชุมชน จัดกิจกรรม การแสดง และการละเล่นมหรสพต่างๆ ดังที่ได้เห็นกันอยู่ในทุกวันนี้
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ 2 วาระ ครั้งแรกเมื่อกรมฯ ยกฐานะเป็นกระทรวงในปี พ.ศ. 2435 และทรงกลับมาบริหารกระทรวงแห่งนี้อีกครั้งในช่วงปี พ.ศ. 2442-2448 ส่วนมูลเหตุที่ต้องทรงเปลี่ยนไปบริหารส่วนราชการหลายกระทรวงนั้น สะท้อนให้เห็นได้จากความในพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ว่า “...การที่ต้องทรงย้ายรับราชการเป็นหลายกระทรวงนั้น เพราะทรงพระปรีชาสามารถอาจวางเนติแบบอย่างในราชการให้เป็นบรรทัดฐานมั่นคง ดำเนินในทางที่ควรที่ชอบได้มีพระอัธยาศรัยมั่นคงองอาจมิได้หวาดไหว ดำรงอยู่ในความสัตย์สุจริตเป็นที่ตั้ง... ”
ตลอดพระชนม์ชีพของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงสร้างคุณูปการต่อประเทศชาติ ทั้งในงานด้านช่างและศิลปะทุกแขนง
การพัฒนาเพื่อความเจริญมั่นคงของชาติและยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน มีผลงานเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของผู้คน แม้พระองค์จะสิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2490 ด้วยพระชันษา 83 ปี 10 เดือน 12 วัน แต่ในวาระ 100 ปีพระชาตกาลของพระองค์ ทรงได้รับการยกย่องจากองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(UNESCO) ในฐานะที่เป็น “ บุคคลสำคัญของโลก” และได้จัดตั้ง “ทุนนริศรานุวัดติวงศ์” สำหรับบำรุงและสนับสนุนการศึกษาด้านศิลปะ
และในปี พ.ศ.2550 หากยังดำรงพระชนม์ชีพอยู่ จะเป็นปีครบรอบ 12 นักษัตรของพระองค์ กรมโยธาธิการและผังเมืองจึงได้จัดสร้างพระอนุสาวรีย์ประดิษฐานไว้หน้าอาคารที่ทำการของกรมฯ ถนนพระราม 6 เพื่อเป็นอนุสรณ์ในพระเกียรติคุณ และเป็นต้นแบบอันดีของข้าราชการและประชาชนทั่วไปในอันที่จะทำคุณงามความดีเพื่อส่วนรวมโดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพระอนุสาวรีย์ เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2550
ที่มาจาก : wikipedia.org/wiki/สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ_เจ้าฟ้าจิตรเจริญ_กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์






