จริงหรือ?? ฝังคนเป็นลงหลุม เฝ้าศาลหลักเมือง เผยเรื่องเล่า "เณรมั่น เณรคง" และคำสาปแช่งจากเจ้าอาวาสวัดไตรภูมิ ต่อเจ้าเมืองเพชรบูรณ์!!

ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th

จริงหรือ?? ฝังคนเป็นลงหลุม เฝ้าศาลหลักเมือง เผยเรื่องเล่า "เณรมั่น เณรคง" และคำสาปแช่งจากเจ้าอาวาสวัดไตรภูมิ ต่อเจ้าเมืองเพชรบูรณ์!!

          ตามประเพณีไทยแต่โบราณมา  เมื่อจะมีการสร้างเมืองใหม่ขึ้น  ณ ที่ใดก็ตามสิ่งที่จะต้องทำเป็นประการแรกก็คือ  หาฤกษ์ยามอันดี  สำหรับฝังเสาหลักเมือง 
 แล้วหลังจากนั้นจึงจะดำเนินการสร้างบ้านสร้างเมืองกันต่อไป  เสาหลักเมือง  ที่ได้รับการฝังไว้เป็นปฐมนั้น ไม่ว่าที่เมืองไหน ๆ  ก็ตาม  เมื่อสร้างเมืองเสร็จแล้วก็มักจะเป็นที่เคารพบูชาของชาวเมืองนั้น ๆ  ตลอดไป  รวมทั้งชาวเมืองอื่น ๆ  ที่พากันเดินทางมายังเมืองนั้น ๆ  ก็มักจะต้องแวะไหว้เสาหลักเมือง หรือ เจ้าพ่อหลักเมืองกันจนถือเป็นประเพณี

           “หลักเมือง” เป็นประเพณีพราหมณ์  มีมาแต่อินเดีย ไทยตั้งเสาหลักเมืองขึ้นตามธรรมเนียมพราหมณ์ ที่จะเกิดหลักเมืองนั้น คงจะเป็นด้วยประชุมชน ประชุมชนนั้นต่างกัน ที่อยู่เป็นหมู่บ้านก็มี หมู่บ้านหลาย ๆ  หมู่รวมกันเป็นตำบล  ตำบลตั้งขึ้นเป็นอำเภอ  อำเภอนั้นเดิมเรียกว่าเมือง   เมืองหลาย ๆ  เมืองรวมเป็นเมืองใหญ่ ๆ  เมืองใหญ่ ๆ หลาย ๆ  เมืองรวมเป็นมหานคร คือเมืองมหานคร

จริงหรือ?? ฝังคนเป็นลงหลุม เฝ้าศาลหลักเมือง เผยเรื่องเล่า "เณรมั่น เณรคง" และคำสาปแช่งจากเจ้าอาวาสวัดไตรภูมิ ต่อเจ้าเมืองเพชรบูรณ์!!
         เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  โปรดฯ ให้โหรผูกชะตาเมืองกรุงเทพฯ  ที่จะสร้างขึ้นใหม่นั้น โหรหลวงได้ทูลเกล้าฯ ถวายดวงเมือง 2 แบบคือดวงเมืองแบบหนึ่ง บ้างเมืองจะเจริญรุ่งเรือง  ไม่มีเหตุวุ่นวาย  แต่ทว่าจะต้องมีอยู่ระยะหนึ่ง ที่ประเทศไทยต้องตกเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติ  ส่วนอีกดวงเมืองหนึ่งนั้น  ประเทศไทยจะมีแต่เรื่องยุ่งวุ่นวายไม่มีที่สิ้นสุด  แต่ทว่าจะสามารถรักษาเอกราชได้ตลอดไป
          ปรากฏว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  ทรงเลือกดวงเมืองตามแบบหลัง  เพราะพระองค์คงจะทรงเห็นว่าการที่จะต้องตกไปเป็นเมืองขึ้นของชาติอื่นนั้น  แม้บ้านเมืองจะเจริญรุ่งเรืองแค่ไหนก็ไม่ความหมายอันใด  เมื่อสิ้นความเป็นไทย

เช่าพระคลิ๊กที่นี่
บ้านพระเครื่อง

 

จริงหรือ?? ฝังคนเป็นลงหลุม เฝ้าศาลหลักเมือง เผยเรื่องเล่า "เณรมั่น เณรคง" และคำสาปแช่งจากเจ้าอาวาสวัดไตรภูมิ ต่อเจ้าเมืองเพชรบูรณ์!!

   ในสมัยในรัชกาลที่ 4 - 5  นั้น  บ้านเมืองต่าง ๆ  โดยรอบประเทศไทย ไม่ว่าลาว เขมร พม่า มลายู ต่างตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสและอังกฤษจนหมดสิ้น  แม้แต่ประเทศใหญ่อย่างอินเดีย  ก็ยังตกเป็นของอังกฤษ  มีแต่ประเทศไทยเพียงประเทศเดียวเท่านั้นที่รักษาเอกราช  คงความเป็นไทมาได้
          เรื่องนี้อาจจะเนื่องมาจากดวงเมืองของกรุงเทพฯ ที่บรรจุอยู่  ณ ปลายเสาหลักเมืองก็เป็นได้ สำหรับเสาหลักเมืองกรุงเทพฯ นั้น เสาเดิมจะเป็นอย่างไร ก็คงไม่มีใครเคยเห็น  เพราะเหตุว่าได้มีการเปลี่ยนเสาหลักเมืองกรุงเทพฯ กันครั้งหนึ่ง เมื่อสมัยรัชกาลที่ 4 ด้วยเสาหลักเมืองเดิมนั้นผุพังหมดสภาพไปนั่งเอง  เสาหลักเมือง ที่เปลี่ยนใหม่ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนี้  ทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ต้นใหญ่มาก คือมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 30 นิ้ว สูง 108 นิ้ว  ตรงปลายเสาทำเป็นรูปหัวเม็ดทรงมัณฑ์ บรรจุดวงชะตาของกรุงเทพฯ ไว้ภายใน

จริงหรือ?? ฝังคนเป็นลงหลุม เฝ้าศาลหลักเมือง เผยเรื่องเล่า "เณรมั่น เณรคง" และคำสาปแช่งจากเจ้าอาวาสวัดไตรภูมิ ต่อเจ้าเมืองเพชรบูรณ์!!
          แต่ทุกวันนี้  จะไปหาดูเนื้อไม้สักนิดก็ไม่เห็น  เพราะประชาชนผู้เคารพสักการะเสาหลักเมืองนั้น  ได้พากันปิดทองคำเปลว  จนกระทั่งเสาหลักเมืองอร่ามเรืองเป็นสีทอง ราวกับหล่อด้วยทองคำทั้งแท่งทีเดียว เป็นการแสดงให้เห็นว่า  เสาหลักเมืองกรุงเทพฯ นั้น  เป็นที่เคารพสักการะของผู้คนมากเพียงไร

จริงหรือ?? ฝังคนเป็นลงหลุม เฝ้าศาลหลักเมือง เผยเรื่องเล่า "เณรมั่น เณรคง" และคำสาปแช่งจากเจ้าอาวาสวัดไตรภูมิ ต่อเจ้าเมืองเพชรบูรณ์!!

มีตำนานและเป็นเรื่องเล่าที่ตรงกันในสถานที่หลาย ๆ แห่ง นั่นคือ ในสมัยก่อนเมื่อจะมีการสร้างเมือง ซึ่งจะต้องสร้างประตูเมืองและกำแพงเมืองพร้อมกันด้วยนั้น  ได้มีคติความเชื่อในสมัยนั้นว่า จะต้องนำคนมาฝั่งทั้งเป็นไว้ที่ประตูเมืองเพื่อเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เฝ้าปกปักรักษาเมือง โดยจะใช้คนที่มีชื่อว่า อินทร์ จันทร์ มั่น คง อยู่ ดี …

การสร้างเมืองเพชรบูรณ์ก็เช่นเดียวกัน เจ้าเมืองได้ประกาศให้หาคนมาฝั่งทั้งเป็นที่ประตูด้านทิศตะวันตกแห่งนี้ แต่เนื่องจากเพชรบูรณ์เป็นเมืองเล็ก จึงทำให้หาคนที่มีชื่อตามต้องการได้ลำบาก จึงให้ประกาศให้หาเฉพาะ ชื่อมั่นและชื่อคง … แม้กระนั้นก็ดี การหาคนชื่อมั่น ชื่อคง ก็ยังหายากมาก เหล่าทหารได้ออกค้นหามาหลายวันก็ยังไม่พบ จนถึงวันกำหนดพิธีซึ่งจะต้องจัดตอนเที่ยง ..

จริงหรือ?? ฝังคนเป็นลงหลุม เฝ้าศาลหลักเมือง เผยเรื่องเล่า "เณรมั่น เณรคง" และคำสาปแช่งจากเจ้าอาวาสวัดไตรภูมิ ต่อเจ้าเมืองเพชรบูรณ์!!

เวลาใกล้เพล เหล่าทหารก็ประกาศหา คนชื่อมั่น ชื่อคง มาจนถึงวัดไตรภูมิ ตะโกนว่า “กระจองงอง กระจองงอง เจ้าข้าเอ๊ย … ใครชื่อมั่นชื่อคง ให้ออกมาหน่อย” ก็มีเณร 2 รูปที่กวาดลานวัดอยู่ในวัดไตรภูมิตะโกนขานรับออกมา “โว้ย…” เหล่าทหารจึงรีบเขาไปคุมตัวจะนำมาเข้าพิธี  เจ้าอาวาสเห็นเช่นนั้นก็ได้ออกมาห้ามปราม แต่เหล่าทหารได้อธิบายความจำเป็นที่จะต้องนำตัวไปร่วมพิธีเพื่อบ้านเพื่อเมืองดังกล่าว … เจ้าอาวาสเห็นเป็นเช่นนั้น ก็ยอม แต่ขอให้เณรทั้ง 2 ได้ฉันเพลก่อนแล้วค่อยนำตัวไป … แต่เหล่าทหารเห็นว่า เวลาใกล้จะเริ่มพิธีแล้ว จึงได้นำตัวไปทันทีโดยไม่ยอมให้ฉันเพล … ทำให้เจ้าอาวาสโกรธ และสาปแช่งเจ้าเมืองเพชรบูรณ์ทุกคนไว้ว่า เจ้าเมืองเพชรบูรณ์คนใดครองเมืองเพชรบูรณ์เกินกว่า 3 ปี ขอให้มีอันเป็นไป … จากนั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีเจ้าเมืองเพชรบูรณ์คนใดครองเมืองเกินกว่า 3 ปีแม้แต่คนเดียว จนกระทั่งทุกวันนี้

ส่วนดวงวิญญาณเณรมั่น เณรคง ก็ได้สิงสถิตอยู่ที่ประตูเมือง เป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ให้การปกปักรักษาและให้พรแก่คนเพชรบูรณ์มาช้านาน โดยคนเพชรบูรณ์ได้สร้างศาลไว้ที่บนป้อมประตูเมืองด้วย และคนรุ่นเก่า ๆ ที่อาศัยอยู่ในเมืองจะรู้ดีถึงเรื่องนี้  มีการไปขอพร บนบานศาลกล่าวต่าง ๆ และเมื่อผ่านไปมาก็จะยกมือไหว้กันทุกคน จนทุกวันนี้ …

ป้อมประตูชุมพลที่อยู่ทิศตะวันตกของเมืองนี้  ปัจจุบันจะเห็นเป็นซากโบราณสถานที่ก่อด้วยอิฐประกอบด้วยหินทราย ตั้งอยู่ที่บริเวณใกล้สี่แยกถนนเพชรรัตน์ ทางไปวัดไตรภูมิ ซึ่งยังคงมองเห็นได้จนปัจจุบันนี้ …

อนึ่ง .. การฝังคนทั้งเป็นเพื่อให้เป็นวิญญาณเฝ้าเมืองนั้น เป็นคติความเชื่อในสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่มีอิทธิพลความเชื่อมาจากศาสนาพราหมณ์  ซึ่งก็ตรงกับหลักฐานทางประวิติศาสตร์ของช่วงเวลาในการก่อสร้างกำแพงเมืองเพชรบูรณ์

ส่วนที่ศาลหลักเมืองปัจจุบันนี้ ก็ตั้งอยู่บนป้อมปราการเช่นเดียวกัน แต่เป็นมุมกำแพง ไม่ใช่ประตูเมือง … ซึ่งเสาหลักเมืองเพชรบูรณ์นี้ ตามหลักฐานของกรมศิลปากร เพิ่งมีการปักเมื่อประมาณ 100 กว่าปีที่แล้ว คือ พ.ศ. 2443 นี่เอง .. ซึ่งตอนนั้น บ้านเมืองเรานับถือศาสนาพุทธแล้ว จึงคงจะไม่มีการฝังคนทั้งเป็นอย่างเด็ดขาด … เณรมั่นเณรคง จึงไม่ได้ถูกฝังอยู่ที่ศาลหลักเมืองในปัจจุบันนี้แต่อย่างใด

 

ที่มาจาก : http://storyofsiam.blogspot.com

              https://wisonk.wordpress.com